คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3975/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์ทั้งสองกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงโดยทุจริตต่อหน้าที่เอาเงินของจำเลยไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัว แต่จำเลยมีอำนาจตามระเบียบพนักงานบริษัทขนส่ง จำกัดที่จะเลือกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกได้ ตามความร้ายแรงแห่งกรณีการกระทำความผิด ประกอบกับโจทก์ทั้งสองทำงานมาเกือบ 30 ปี เป็นการกระทำความผิดครั้งแรกเงินที่โจทก์ทั้งสองทุจริตเอาไปมีจำนวนเพียง 300 บาทเศษ และ 1,200 บาทเศษตามลำดับ ทั้งโจทก์ทั้งสองรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การสอบสวนมีเหตุอันสมควรลดหย่อนโทษ การที่จำเลยมีคำสั่งลงโทษโจทก์ทั้งสองถึงขั้นไล่ออกจึงหนักเกินไป ศาลแรงงานกลางมีอำนาจพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของจำเลย และให้เปลี่ยนโทษไล่ออกเป็นให้ออกกับให้จำเลยจ่ายเงินทุนบำเหน็จและเงินประกันการทำงานคืนแก่โจทก์ทั้งสองได้

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนฟ้องทำนองเดียวกันว่า จำเลยสั่งพักงานโจทก์ทั้งสองอ้างว่าปฏิบัติหน้าที่ทุจริตและมีคำสั่งไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงานเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม2543 โดยให้เหตุผลว่าโจทก์ทั้งสองทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ตามคำสั่งที่ ก. 285/2543ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยมีมติเห็นชอบด้วย แต่โจทก์ทั้งสองเห็นว่าเป็นคำสั่งไม่ชอบ เพราะโจทก์ทั้งสองไม่มีเจตนาทุจริต เหตุเกิดเพราะความผิดพลาดในการออกใบเสร็จรับเงินและเป็นความผิดเพียงเล็กน้อย จึงไม่ควรได้รับโทษรุนแรงถึงขั้นไล่ออกทั้งจำเลยทำการสอบสวนไม่ละเอียดถี่ถ้วน ขอให้เพิกถอนคำสั่งที่ ก. 285/2543ลงวันที่ 18 พฤษภาคม 2543 และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ที่ รส.123/2543 และ รส.120/2543 ลงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2543 และวันที่ 1พฤศจิกายน 2543 กับสั่งให้จำเลยรับโจทก์ทั้งสองกับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิมหรือไม่ต่ำกว่าเดิม หากไม่สามารถรับกลับเข้าทำงานได้ให้ชำระค่าเสียหายกรณีการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 659,920 บาท และโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 576,034.11บาท

จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า ขณะที่โจทก์ทั้งสองปฏิบัติหน้าที่ที่สถานีเดินรถสุราษฎร์ธานี โจทก์ทั้งสองจำหน่ายค่าธรรมเนียมรถร่วมแล้วนำเงินเข้าบัญชีไม่ครบถ้วนตามที่เรียกเก็บ ซึ่งตามระเบียบพนักงานของจำเลยถือเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงจำเลยทำการสอบสวนแล้วได้ความว่าโจทก์ทั้งสองมีความผิดจริงจึงไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงานโดยไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายตามฟ้องแก่โจทก์ทั้งสองและไม่ต้องรับโจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงาน ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานพิจารณาแล้วพิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ไล่โจทก์ทั้งสองออกโดยให้ลงโทษเพียงให้ออกแทนและให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 538,000บาท แก่โจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 490,574.11 บาท คำขออื่นให้ยก

จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของโจทก์ทั้งสองเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบให้ตนเองได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ซึ่งถือเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามระเบียบพนักงานบริษัทขนส่ง จำกัด พ.ศ. 2532 เอกสารหมาย ล.17ข้อ 39(1) แต่ข้อ 44 ได้ระบุว่า “พนักงานผู้ใดกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจักต้องรับโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออก ตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันสมควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษต่ำกว่าให้ออก” หมายความว่า ให้นายจ้างสามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาลงโทษพนักงานที่กระทำความผิดอย่างร้ายแรงโดยให้ลงโทษตามความร้ายแรงแห่งการกระทำผิดกรณีใดกรณีหนึ่งดังกล่าว มิใช่ต้องลงโทษไล่ออกสถานเดียวตามที่จำเลยอุทธรณ์ เมื่อปรากฏว่าโจทก์ทั้งสองทำงานกับจำเลยมานานคนละเกือบ 30 ปี เงินของจำเลยที่โจทก์ทั้งสองทุจริตเป็นจำนวนไม่มาก และเป็นการกระทำผิดครั้งแรก อีกทั้งโจทก์ทั้งสองยอมรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงอันเป็นประโยชน์แก่การสอบสวนของจำเลย กรณีจึงมีเหตุสมควรลดหย่อนโทษให้แก่โจทก์ทั้งสอง ที่จำเลยลงโทษโจทก์ทั้งสองถึงขั้นไล่ออกเป็นการลงโทษที่หนักเกินไปไม่เหมาะตามความร้ายแรงแห่งกรณีการกระทำความผิด ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้ลดหย่อนโทษแก่โจทก์ทั้งสองจากไล่ออกเป็นให้ออกและให้จำเลยจ่ายเงินทุนบำเหน็จและเงินประกันการทำงานคืนแก่โจทก์ทั้งสองนั้นจึงชอบด้วยระเบียบพนักงานของจำเลยดังกล่าวแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองสำนวนฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share