คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3488/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำฟ้องโดยระบุว่าโจทก์มีภูมิลำเนาที่บ้านเลขที่ 1125-1127 ถนนเพชรบุรีซึ่งบ้านเลขที่ดังกล่าวโจทก์ได้บรรยายฟ้องว่าถูกไฟไหม้จากการทำละเมิดของลูกจ้างจำเลยดังนั้น ในขณะยื่นคำฟ้องโจทก์ไม่ได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ดังกล่าว ส่วนทนายโจทก์ก็ระบุที่อยู่ไว้ท้ายคำฟ้องเพียงแห่งเดียวว่าอยู่บ้านเลขที่ 26 อาคาร 5 ถนนราชดำเนินกลางแต่ภายหลังจากยื่นคำฟ้องแล้ว ทนายโจทก์ได้ดำเนินคดีต่อมา โดยยื่นคำร้อง คำขอ และคำแถลงต่อศาลชั้นต้น ระบุว่าทนายโจทก์อยู่บ้านเลขที่ 1895/87 ถนนพหลโยธินและบ้านเลขที่ 387/368 ถนนเตชะวณิชย์ สลับกันไปมา จึงเชื่อว่าทนายโจทก์ได้ย้ายจากภูมิลำเนาเดิมตามคำฟ้องไปแล้วก่อนวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่ทนายโจทก์ตามภูมิลำเนาเดิมของทนายโจทก์โดยวิธีปิดหมาย จึงเป็นการไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบแล้ว การที่ศาลชั้นต้นสั่งเลื่อนวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไป วันที่ 18 สิงหาคม 2541 โดยให้ประกาศแจ้งวันนัดแก่ทนายโจทก์ทราบโดยปิดประกาศที่หน้าศาลนั้น เป็นการไม่ชอบและถือว่าทนายโจทก์ยังไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แม้โจทก์จะยื่นคำร้องขอตรวจสำนวนและขอถ่ายสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 28ตุลาคม 2541 แต่โจทก์ก็ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังใหม่ และศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำร้อง จึงไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบในวันที่ 28 ตุลาคม 2541 แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังใหม่เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2542 การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ครั้งใหม่จึงชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยโจทก์ทั้งหกไม่มาศาลต่อมาโจทก์ทั้งหกยื่นคำร้องว่าโจทก์ทั้งหกไม่ได้รับหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เนื่องจากพนักงานส่งหมายส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปที่ภูมิลำเนาเดิมของโจทก์ทั้งหกซึ่งถูกไฟไหม้ มิได้ส่งไปยังที่อยู่ใหม่ของโจทก์ทั้งหกตามที่ได้ส่งหมายฉบับอื่นแก่โจทก์ทั้งหก จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่าวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นใช้วิธีประกาศหน้าศาล เนื่องจากส่งหมายนัดไม่ได้ แต่ทางไต่สวนได้ความว่าภูมิลำเนาเดิมของโจทก์ถูกไฟไหม้ จึงย้ายไปมีภูมิลำเนาที่อื่นและไม่ทราบนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ การอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งหกทราบโดยชอบแล้ว จึงให้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ทั้งหกฟังใหม่

จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ใหม่เป็นการไม่ชอบ

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าศาลชั้นต้นสั่งให้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ทั้งหกฟังใหม่นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่พนักงานเดินหมายของกรมบังคับคดีส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ทั้งหกไม่ได้ เนื่องจากสถานที่ที่ระบุไว้ในหมายนัดว่าเป็นบ้านเลขที่ 1125-1127 ถนนเพชรบุรี แขวงมักกะสัน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นภูมิลำเนาตามคำฟ้องโจทก์ทั้งหก แต่บ้านเลขที่ดังกล่าวถูกไฟไหม้ไปหมดแล้ว ตามรายงานการเดินหมายกรมบังคับคดีลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2541 ส่วนทนายโจทก์ทั้งหกนั้นพนักงานเดินหมายก็ส่งหมายนัดให้ทนายโจทก์ทั้งหกตามที่อยู่ท้ายคำฟ้อง ซึ่งเป็นบ้านเลขที่ 26 อาคาร 5 ถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานครปรากฏว่าขณะโจทก์ทั้งหกยื่นคำฟ้องโดยระบุว่าโจทก์ทั้งหกมีภูมิลำเนาที่บ้านเลขที่ 1125-1127 ถนนเพชรบุรี แขวงมักกะสัน เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร นั้น ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ทั้งหกก็ระบุว่า บ้านเลขที่ดังกล่าวถูกไฟไหม้จากการทำละเมิดของนายสุทันฝักแคเล็กลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 อยู่แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในขณะยื่นคำฟ้องโจทก์ทั้งหกมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ดังกล่าว อีกทั้งในขณะที่โจทก์ที่ 2 มาเบิกความที่ศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2536 วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537 และวันที่ 3 มีนาคม2537 ก็ระบุว่าโจทก์ที่ 2 มีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 20-20/1 ถนนอโศก แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ส่วนทนายโจทก์ทั้งหกนั้นก็ระบุที่อยู่ไว้ท้ายคำฟ้องเพียงแห่งเดียวว่าอยู่บ้านเลขที่ 26 อาคาร 5 ถนนราชดำเนินกลาง แขวงบวรนิเวศน์ เขตพระนครกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่ตั้งของสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย แต่ภายหลังจากยื่นคำฟ้องแล้ว ทนายโจทก์ทั้งหกได้ดำเนินคดีต่อมา โดยยื่นคำร้อง คำขอ และคำแถลงต่อศาลชั้นต้นระบุว่าทนายโจทก์ทั้งหกอยู่บ้านเลขที่ 1895/87 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร และบ้านเลขที่ 387/368 ถนนเตชะวณิช แขวงบางซื่อ เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร สลับกันไปมา โดยหลังจากวันที่ 13 ธันวาคม 2538จนถึงวันยื่นอุทธรณ์วันที่ 29 มีนาคม 2539 ทนายโจทก์ทั้งหกระบุภูมิลำเนาใหม่ของทนายโจทก์ทั้งหกว่าอยู่บ้านเลขที่ 387/368 ถนนเตชะวณิชมาโดยตลอด จึงเชื่อว่าทนายโจทก์ทั้งหกได้ย้ายจากภูมิลำเนาเดิมตามคำฟ้องไปแล้วก่อนวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ดังนั้น การส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่ ทนายโจทก์ทั้งหกตามภูมิลำเนาเดิมของทนายโจทก์ทั้งหกโดยวิธีปิดหมาย จึงเป็นการไม่ชอบ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งหกได้ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบแล้วกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นภายหลังแต่นั้นมาจึงเป็นการไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมาย ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นสั่งเลื่อนวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปวันที่ 18 สิงหาคม 2541 โดยให้ประกาศแจ้งวันนัดแก่ทนายโจทก์ทั้งหกทราบโดยปิดประกาศที่หน้าศาลนั้น เป็นการไม่ชอบและถือว่าทนายโจทก์ทั้งหกยังไม่ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แม้โจทก์ทั้งหกจะยื่นคำร้องขอตรวจสำนวนและขอถ่ายสำเนาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่28 ตุลาคม 2541 แต่โจทก์ทั้งหกก็ยื่นคำร้องลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2541 ขอให้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ทั้งหกฟังใหม่แล้ว และศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำร้อง กรณียังไม่อาจถือได้ว่าโจทก์ทั้งหกทราบคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชอบในวันที่ 28 ตุลาคม 2541 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ทั้งหกฟังใหม่ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2542 จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share