คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1217/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หนังสือมอบอำนาจระบุว่า โจทก์ โดย บ. ผู้รับมอบอำนาจขอมอบอำนาจช่วงให้แก่ ก. หรือ ส. เป็นผู้มีอำนาจดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสองฐานผิดสัญญาเช่าซื้อ ค้ำประกัน เป็นการมอบอำนาจให้ ก. หรือ ส. คนใดคนหนึ่งกระทำการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสองเท่านั้น กิจการที่ ก. หรือ ส. กระทำเป็นกิจการเดียวกันคือ ฟ้องจำเลยทั้งสองเพียงครั้งเดียว หาได้กระทำกิจการแยกกันต่างคนต่างฟ้องคดีเรื่องอื่นต่อจำเลยทั้งสองหรือฟ้องบุคคลอื่นอันเป็นการกระทำมากกว่าครั้งเดียวไม่แม้ ส. เป็นผู้แต่งตั้งทนายความและ ก. เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ ก็เป็นกิจการเดียวกัน จึงเป็นกรณีการมอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนกระทำการครั้งเดียวซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์เพียง 10 บาท ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรข้อ 7(ก)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายบรรเจิด เย็นมนัส ดำเนินคดีแทนและให้มีอำนาจมอบอำนาจช่วงได้ เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2539 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์โตโยต้า ไปจากโจทก์ในราคา 348,300 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังทำสัญญาจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ตั้งแต่งวดที่ 8 โจทก์มีหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยทั้งสองแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ถือว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแต่จำเลยที่ 1 ไม่คืนรถให้โจทก์ โจทก์ติดตามยึดรถคืนและนำออกประมูลขายได้เงินเพียง 190,500 บาท ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขาดราคา 90,075 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันประมูลขายจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 20,266 บาท และขาดประโยชน์ที่ควรจะได้จากการนำรถให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าเดือนละ 8,000 บาท เป็นเวลา 8 เดือน เป็นเงิน 64,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์รับรถคืนจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 15,200บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 189,541 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน189,541 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะนายสุวิทย์ อุดมทรัพย์ ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์จึงไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อร่วมกับนายพีรศิลป์ศุภผลศิริ มอบอำนาจให้ผู้อื่นทำนิติกรรมแทน และปัจจุบันนายพีรศิลป์ไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ จึงไม่มีอำนาจมอบอำนาจให้นายบรรเจิด เย็นมนัสกระทำการแทนโจทก์ นายบรรเจิดจึงไม่มีอำนาจมอบอำนาจช่วง ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 21 พฤษภาคม 2542 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองที่ต้องวินิจฉัยว่า หนังสือมอบอำนาจที่นายบรรเจิด เย็นมนัส ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มอบอำนาจช่วงให้นางกรรณิกา สุขสุดประเสริฐ หรือนายสมศักดิ์ รุ่งรัตนประเสริฐ ฟ้องจำเลยทั้งสองตามเอกสารหมาย จ.3 จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามกฎหมายได้หรือไม่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.3 ผู้รับมอบอำนาจช่วงสองคนต่างคนต่างกระทำกิจการแยกกันโดยนายสมศักดิ์เป็นผู้แต่งทนายความให้ทนายโจทก์ดำเนินคดีนี้ ส่วนนางกรรณิกาทำหน้าที่เบิกความเป็นพยานต่อศาล โจทก์มอบอำนาจช่วงให้บุคคลทั้งสองดังกล่าวกระทำการมากกว่าครั้งเดียวและบุคคลทั้งสองต่างคนต่างกระทำกิจการแยกกัน โจทก์จึงต้องปิดอากรแสตมป์ตามรายตัวบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจช่วงคนละ 30 บาท แต่โจทก์ปิดอากรแสตมป์ในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.3 เพียง 30 บาท ไม่ครบ 60 บาท เป็นการต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 104 และบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร ข้อ 7(ค) จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่ามีการมอบอำนาจช่วงให้ฟ้องคดีนี้ไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้นเห็นว่า ตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.3 ระบุข้อความไว้โดยแจ้งชัดว่า บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด(มหาชน) โจทก์ โดยนายบรรเจิด เย็นมนัส ผู้รับมอบอำนาจขอมอบอำนาจช่วงให้แก่นางกรรณิกา สุขสุดประเสริฐ หรือนายสมศักดิ์ รุ่งรัตนประเสริฐ เป็นผู้มีอำนาจดำเนินการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อนายสมชาย สัตยาภรณ์ นายธีระวัฒน์ ชูสอน เป็นจำเลยต่อศาลฐานผิดสัญญาเช่าซื้อ ค้ำประกันเพื่อการนี้ให้ผู้รับมอบอำนาจ (ที่ถูกน่าจะเป็น เพื่อการนี้ให้ผู้รับมอบอำนาจมีอำนาจ) ดังจะกล่าวต่อไปนี้ด้วยคือ ฯลฯ ข้อความที่ระบุไว้เช่นนี้เป็นการมอบอำนาจให้นางกรรณิกาหรือนายสมศักดิ์คนใดคนหนึ่งกระทำการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสองฐานผิดสัญญาเช่าซื้อและค้ำประกันคดีนี้เท่านั้น กิจการที่นางกรรณิกาหรือนายสมศักดิ์กระทำเป็นกิจการเดียวกันคือ ฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หาได้กระทำกิจการแยกกันต่างคนต่างฟ้องคดีเรื่องอื่นต่อจำเลยทั้งสองหรือฟ้องบุคคลอื่นอันเป็นการกระทำมากกว่าครั้งเดียวไม่ แม้นายสมศักดิ์ผู้รับมอบอำนาจช่วงคนหนึ่งเป็นผู้แต่งตั้งทนายความและนางกรรณิกา ผู้รับมอบอำนาจช่วงอีกคนหนึ่งเข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีนี้ก็ตาม ก็เป็นที่เห็นได้ว่ากิจการที่ผู้รับมอบอำนาจช่วงทั้งสองกระทำเป็นกิจการเดียวกันคือฟ้องร้องดำเนินคดีนี้ต่อจำเลยทั้งสองเท่านั้น จึงเป็นกรณีการมอบอำนาจให้บุคคลคนเดียวหรือหลายคนกระทำการครั้งเดียวซึ่งต้องปิดอากรแสตมป์เพียง 10 บาท ตามบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากรข้อ 7(ก) เมื่อโจทก์ปิดอากรแสตมป์ในหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.3 จำนวน30 บาท จึงสมบูรณ์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 104 และบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายประมวลรัษฎากร ข้อ 7(ก) แล้ว หนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.3 ใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้ตามความในประมวลรัษฎากร มาตรา 118 จึงฟังได้ว่าโจทก์โดยนายบรรเจิดผู้รับมอบอำนาจช่วงให้แก่นายสมศักดิ์ฟ้องคดีนี้โดยชอบด้วยกฎหมายโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share