แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ ได้ฉีดยาให้บุคคลหนึ่งโดยประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายนั้น เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท เมื่อโจทก์ไม่ฟ้องจำเลยตามฐานความผิดทุกบทกฎหมายเสียในคดีเดียวกัน กลับเลือกฟ้องจำเลยฐานประกอบโรคศิลปะไม่รับอนุญาตจนศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ก็ได้ชื่อว่าความผิดของจำเลยซึ่งได้ฟ้องนั้นมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะฟ้องจำเลยฐานทำให้คนตายโดยประมาทอีก มิฉะนั้นความผิดกรรมเดียวของจำเลยก็จะถูกพิจารณาพิพากษาสองซ้ำสองหน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ 30 กรกฎาคม 2506 เวลากลางวัน จำเลยโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง ใช้ยาไพรานา อันเป็นยาฉีดแก้ไข้ฉีดเข้ากล้ามเนื้อบริเวณตะโพกของเด็กหญิงส่วนเพื่อบำบัดไข้ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน จำเลยฉีดยาไม่ตรงตามตำแหน่งที่ควรฉีด เข็มฉีดยาก็ไม่สะอาด ทำให้เด็กหญิงส่วนเป็นฝีมีหนองที่ตะโพก ต่อมา 31 กรกฎาคม ถึง 12 กันยายน 2506 จำเลยบังอาจฉีดยาแก้ไขและรักษาฝีที่ตะโพกซึ่งเกิดจากการกระทำของจำเลยอีกหลายครั้ง ทำให้ฝีอักเสบรุนแรง หนองกัดกล้ามเนื้อตะโพกเป็นโพรงไปตามขาขวา หนองทะลุไหลออกที่ขาพับข้างขวา เป็นบาดแผลสาหัสเด็กหญิงส่วนถึงแก่ความตายเมื่อ 12 กันยายน 2506 เหตุเกิดตำบลศิลาแลง อำเภอปัว จังหวัดน่าน ขอให้ลงโทษตามมาตรา 291 ให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีแดงที่ 317/2506
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง รับว่าเป็นจำเลยในคดีแดงที่317/2506 จริง
ศาลชั้นต้นสอบโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการฉีดยารายเดียวกับที่จำเลยได้ถูกฟ้องในคดีแดงที่ 317/2506หรือไม่ โจทก์แถลงรับว่า เป็นการฉีดยารายเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยที่โจทก์ฟ้องคดีนี้กับการกระทำของจำเลยในคดีแดงที่ 317/2506 เป็นกรรมเดียววาระเดียวกัน แต่ละเมิดกฎหมายหลายบท เมื่อจำเลยถูกฟ้องและถูกลงโทษในคดีแดง ที่ 317/2506 แล้ว แม้คดียังไม่ถึงที่สุด โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยด้วยบทกฎหมายอื่นที่ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษไว้ในคดีอาญาแดง 317/2506 อีกไม่ได้ ตามนัยฎีกาที่ 2019/2492 เพราะสิทธินำคดีมาฟ้องใหม่ระงับไปแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่า เมื่อคดีก่อนโจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษฐานทำให้คนตายโดยประมาทสิทธินำคดีมาฟ้องก็ยังไม่ระงับ ทั้งมิใช่กรรมเดียวกัน เพราะความผิดตามพระราชบัญญัตินั้นเกิดขึ้นจากการที่จำเลยมีเจตนาจงใจละเว้นไม่ขออนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะแต่คดีนี้ความผิดของจำเลยอยู่ที่การประมาทในการฉีดยา
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นการกระทำกรรมเดียวซึ่งผิดกฎหมายหลายบท โจทก์ฟ้องศาลลงโทษฐานประกอบโรคศิลปะไม่ได้รับอนุญาตไปแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องในความผิดฐานอื่นเนื่องจากกรรมอันเดียวกันย่อมระงับ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาข้อกฎหมายทำนองเดียวกับชั้นอุทธรณ์ อ้างว่าความจริงแล้ว การกระทำผิดครั้งเดียววาระเดียวจะเป็นผิดทั้งเจตนาและประมาทไม่ได้ จำเลยต้องรับโทษในคดีนี้ด้วย
ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นอันฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยทำการประกอบโรคศิลปะโดยผิดกฎหมาย ซึ่งได้ถูกโจทก์ฟ้องและศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 ไปครั้งหนึ่งแล้วต่อมาโจทก์จึงได้ฟ้องจำเลยในกรรมเดียวกันนี้ฐานทำให้คนตายโดยประมาทขึ้นอีกสำนวนหนึ่ง ปัญหาจึงมีว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องคดีนี้อีกหรือไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) บัญญัติว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง ฉะนั้น เมื่อความผิดของจำเลยในกรรมเดียวกันนี้ โจทก์เลือกฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะจนศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ก็ได้ชื่อความความผิดของจำเลยซึ่งได้ฟ้องนั้นมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์ย่อมหมดสิทธิที่จะฟ้องจำเลยฐานทำให้คนตายโดยประมาทอีกตามนัยฎีกาที่ 990/2506 และ 1777/2506จริงอยู่ ที่โจทก์ฎีกาว่าความผิดต่อพระราชบัญญัติควบคุมโรคศิลปะนั้นเกิดจากเจตนา ส่วนความผิดที่ฟ้องคดีนี้เกิดจากความประมาทของจำเลยอันมีสภาพต่างกันในลักษณะที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในวาระเดียวครั้งเดียวกัน กระนั้นก็ตาม เมื่อความผิดของจำเลยเป็นการละเมิดต่อกฎหมายหลายบท แต่แทนที่โจทก์จะฟ้องจำเลยตามฐานความผิดทุกบทกฎหมายเสียในคดีเดียวกัน กลับแยกฟ้องสำนวนละคราวเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องการดำเนินคดีของโจทก์ไม่รัดกุมเองเป็นเหตุให้ความผิดกรรมเดียวของจำเลยได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดตามคดีก่อนไปชั้นหนึ่งแล้ว ฉะนั้น สิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องจำเลยของโจทก์ย่อมเป็นอันหมดไป ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน