คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อันบริษัทจำกัดนั้น นอกจากสำนักงานใหญ่แล้ว จะมีสำนักงานสาขาที่ใดอีกก็ได้ และสาขาบริษัทใดก็คือส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นนั่นเองไม่ต้องมีการจดทะเบียนให้สาขาเป็นบริษัทขึ้นอีก

ย่อยาว

โจทก์ซึ่งเป็นทบวงการเมืองมีอำนาจหน้าที่จัดเก็บภาษีอากรศุลกากรฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงินค่าภาษีศุลกากรขาเข้าเป็นเงิน 908,624 บาท 70 สตางค์ และขอให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินยอดเดียวกันนั้นเป็นจำนวน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ให้การรับว่า ได้ทำสัญญาค้ำประกันจริง แต่สัญญามีเงื่อนเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุด สัญญาหมดอายุแล้ว จำเลยที่ 2 จึงหมดภาระผูกพัน โจทก์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่ดำเนินการกับจำเลยที่ 1 ให้ชำระ และเป็นความผิดของโจทก์ที่มาฟ้องคดีนี้โดยไม่ร้องขัดทรัพย์ในคดีที่จำเลยที่ 2 นำเจ้าพนักงานยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่ควรฟ้องจำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ฟ้องธนาคารมณฑลจำกัด สาขาภูเก็ต เป็นจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่ 2 ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลต่างหากจากธนาคารมณฑลจำกัด นั้น ก็ถือได้ว่า โจทก์ฟ้องธนาคารมณฑลจำกัดซึ่งมีสาขาอยู่ที่ภูเก็ตนั้นเอง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม พิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามฟ้อง

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 2 ฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ไม่ได้จดทะเบียนสาขาบริษัทเป็นบริษัทอีกต่างหากนั้นเห็นว่าอันบริษัทจำกัดนั้น นอกจากสำนักงานใหญ่แล้วจะมีสำนักงานสาขาที่ใดอีกก็ได้ และสาขาบริษัทก็คือส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นนั่นเอง จึงไม่ต้องมีการจดทะเบียนให้สาขาเป็นบริษัทขึ้นอีก คดีนี้โจทก์เรียกจำเลยที่ 2 ว่า “บริษัทธนาคารมณฑลจำกัด สาขาภูเก็ต” และกล่าวความในฟ้องถึงธนาคารมณฑลจำกัดไว้ต่าง ๆ นั้น ต้องถือว่าโจทก์ฟ้องธนาคารมณฑลจำกัดนั่นเอง หาใช่ฟ้องบุคคลอื่นใดไม่ และเห็นว่า ไม่มีเหตุใดที่จะตัดสิทธิมิให้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม พิพากษายืน

Share