คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4066/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เปลือยกายถือมีดเข้าไปหาผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งนอนอยู่บนเตียงนอนของผู้เสียหายที่ 1 ในเวลากลางคืน ผู้เสียหายที่ 1 รู้สึกตัวจำเลยที่ 1 พูดขู่มิให้ร้อง ผู้เสียหายที่ 1 ร้องกรี๊ดสุดเสียงจำเลยที่1ชกปากและเอามือซ้ายยัดเข้าไปในปาก ผู้เสียหายที่ 1กัดนิ้วของจำเลยที่ 1 และดิ้นจนตกจากเตียงนอน ผู้เสียหายที่ 1 ถูกมีดของจำเลยที่ 1บาดที่ข้อมือซ้าย ถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันไม่สมควรทางเพศโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายและได้ใช้กำลังประทุษร้ายแล้ว จึงเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 และเป็นการบุกรุกเข้าไปในเคหสถานโดยไม่มีเหตุอันควรในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นความผิดตามมาตรา 365 เมื่อผู้เสียหายที่ 3 เข้ามาที่ห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1ก็ถูกจำเลยที่ 1 ทำร้ายและจำเลยที่ 1 หยิบเอากระเป๋าที่มีอาวุธปืนของผู้เสียหายที่ 2 เก็บไว้ ซึ่งผู้เสียหายที่ 3 นำมาด้วยและตกอยู่ที่พื้นไป ก่อนจะหลบหนีจำเลยที่ 1 วิ่งชนผู้เสียหายที่ 3 และใช้มีดฟันผู้เสียหายที่ 3 ได้รับบาดเจ็บ จึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 วรรคสาม

ย่อยาว

คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 14746/2542 ของศาลชั้นต้น โดยให้เรียกจำเลยสำนวนนี้ว่าจำเลยที่ 1 และเรียกจำเลยในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ 2 แต่คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีสำนวนนี้

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยที่ 1 ได้เปลือยกายบุกรุกเข้าไปในห้องนอนอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนางสาวดลหทัย สิทธิวงศ์ ผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีเหตุอันสมควร กับมีอาวุธมีดและใช้อาวุธมีดดังกล่าวขู่เข็ญผู้เสียหายที่ 1 ว่า จะใช้กำลังประทุษร้ายแล้วจำเลยที่ 1กระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีอายุ 27 ปี โดยกอดปล้ำ และจำเลยลักอาวุธปืนพกสั้น ขนาด .38 หมายเลขทะเบียน กท.937891 ของนายสวัสดิ์ สิทธิวงศ์ ผู้เสียหายที่ 2ไปโดยทุจริต โดยจำเลยใช้อาวุธมีดที่ติดตัวมาแทงประทุษร้ายนางจุฑาทิพย์ สิทธิวงศ์ผู้เสียหายที่ 3 เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์พาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นจากการจับกุม ในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้สนับสนุน โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เปิดประตูด้านหน้าบ้านของผู้เสียหายที่ 1 ชี้ช่องทางเข้าห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกเพื่อให้จำเลยที่ 1 ซึ่งมีอาวุธมีดติดตัวบุกรุกเข้าไปในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุอันสมควร และใช้อาวุธมีดนั้นขู่เข็ญว่าจะใช้ประทุษร้ายผู้เสียหายที่ 1 เพื่อกระทำอนาจารผู้เสียหายที่ 1 และให้ความสะดวกแก่จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ดูต้นทางมิให้ผู้อื่นเข้ามาช่วยเหลือเพื่อให้จำเลยที่ 1 ลักอาวุธปืนดังกล่าวของผู้เสียหายที่ 2 และใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายผู้เสียหายที่ 3 เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278, 295, 339, 365, 86, 90, 91

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 278, 339 วรรคสาม, 365(1)(2) และ (3) ประกอบมาตรา 364 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานบุกรุกในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธโดยใช้กำลังประทุษร้ายและกระทำอนาจารโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำอนาจารโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 ปี ฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย จำคุก 14 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปีจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278, 365(1)(2)(3)ประกอบมาตรา 364, 86 การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานสนับสนุนการกระทำอนาจารโดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 ประกอบมาตรา 86อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี ข้อหาอื่นให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่าเหตุเกิดเวลาประมาณ 2 นาฬิกา คนร้ายที่ก่อเหตุคือจำเลยที่ 1 โดยผู้เสียหายที่ 1 เริ่มเห็นคนร้ายตั้งแต่ขณะที่ผู้เสียหายที่ 1 ยังนอนไม่หลับและรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ปลายเท้าชิดเตียงนอนแล้วเดินขึ้นมาถึงบริเวณไหล่ของผู้เสียหายที่ 1 เมื่อผู้เสียหายที่ 1 ลืมตาขึ้นก็เห็นชายคนหนึ่งไม่สวมเสื้อ ผมหยิกฟู จมูกโด่งเหมือนแขกมีผ้ายืดสีขาวคาดอยู่ที่บริเวณปากและพูดขู่มิให้ร้องโดยพูดว่าอย่าร้องนะ ผู้เสียหายที่ 1ร้องกรี๊ดสุดเสียง จึงถูกคนร้ายชกที่ปากและเอามือข้างซ้าย 4 นิ้ว ยัดเขาไปในปากผู้เสียหายที่ 1 เพื่อกดลิ้นมิให้ผู้เสียหายที่ 1 ร้องได้ ผู้เสียหายที่ 1 กัดนิ้วของคนร้ายและดิ้นจนตกเตียงนอนก็ถูกอาวุธมีดของคนร้ายที่ถือมาบาดที่ข้อมือซ้าย จากนั้นผู้เสียหายที่ 3ก็เข้าไปช่วยผู้เสียหายที่ 1 ทำให้ผู้เสียหายที่ 1 วิ่งหนีลงไปที่ห้องโถงได้ ในคืนเดียวกันหลังเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจพาผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ไปสถานีตำรวจนครบาลบึงกุ่มและได้ดูตัวบุคคลที่ต้องสงสัยคือจำเลยที่ 1 ผู้เสียหายที่ 1 จำได้ชัดเจนกับยังเห็นบาดแผลที่นิ้วนางข้างซ้ายของจำเลยที่ 1 ที่ถูกผู้เสียหายที่ 1 กัดยังมีโลหิตไหลอยู่ผู้เสียหายที่ 1 ได้ระบุยืนยันกับเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยที่ 1 คือคนร้าย ต่อมาในวันที่ 26 เดือนเดียวกันเจ้าพนักงานตำรวจจัดให้ชี้ตัวคนร้าย ผู้เสียหายที่ 1 ก็ชี้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.10 และภาพถ่ายการชี้ตัวผู้ต้องหาหมาย จ.11 ส่วนผู้เสียหายที่ 3 เบิกความว่าเมื่อได้ยินเสียงผู้เสียหายที่ 1 ร้องก็รีบออกจากห้องนอนพร้อมหยิบกระเป๋าที่มีอาวุธปืนของผู้เสียหายที่ 2 เก็บไว้ไปยังห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ครั้นเปิดประตูห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ได้ และเข้าไปก็พบชายคนร้ายเปลือยกายกำลังทำร้ายผู้เสียหายที่ 1 คนร้ายหันหน้ามาทางผู้เสียหายที่ 3 และวิ่งสวนชนผู้เสียหายที่ 3 กระเป๋าที่มีอาวุธปืนเก็บไว้ตกลงไปอยู่ที่พื้นห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 จากนั้นได้เกิดต่อสู้กันขึ้น โดยผู้เสียหายที่ 3 พยายามใช้มือดึงอวัยวะเพศของคนร้าย จึงได้เห็นบริเวณเหนือข้อเท้าด้านหลังขวาของคนร้ายมีรอยด่างแต่ผู้เสียหายที่ 3 ก็ถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดฟันถูกที่บริเวณมือขวา ระหว่างต่อสู้กันผ้าที่คนร้ายคาดไว้ที่ปากได้หลุดออก ผู้เสียหายที่ 3 เห็นหน้าคนร้ายได้ชัดเจน เพราะบริเวณที่ต่อสู้กันอยู่ใกล้กับห้องน้ำด้านนอก ซึ่งอยู่ระหว่างห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3เปิดไฟสว่าง คนร้ายวิ่งไปหยิบกระเป๋าที่มีอาวุธปืนเก็บไว้ซึ่งตกอยู่บนพื้น และหยิบผ้าชิ้นหนึ่งคล้ายกางเกงใน แล้วคนร้ายวิ่งชนผู้เสียหายที่ 3 ล้มลง และยังใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 3 ถูกที่คอด้านซ้ายด้วย จากนั้นคนร้ายวิ่งหนีเข้าไปในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 3 แล้วออกทางประตูกระจกซึ่งภายนอกเป็นระเบียงบ้าน เมื่อผู้เสียหายที่ 3 ได้เห็นจำเลยที่ 1 ที่สถานีตำรวจนครบาลบึงกุ่ม ผู้เสียหายที่ 3 ก็จำได้ทันทีว่า จำเลยที่ 1 คือคนร้ายดังกล่าว อีกทั้งได้ชี้ตัวจำเลยที่ 1 อีกด้วย ตามบันทึกการชี้ตัวผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.5 และภาพถ่ายการชี้ตัวผู้ต้องหาหมาย จ.6 นอกจากนี้ผู้เสียหายที่ 3 ยังเบิกความอีกว่า โดยปกติแล้วประตูกระจกในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 3 ซึ่งคนร้ายใช้เป็นทางหลบหนีไปจะไม่มีผู้ใดทราบว่าสามารถเปิดเข้าออกได้ แต่เมื่อเกิดเหตุแล้วขณะเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจสถานที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ไปเฝ้าสังเกตดู เมื่อผู้เสียหายที่ 3 พูดสอบถาม จำเลยที่ 2 ก็ตกใจและกลับออกไป ผู้เสียหายที่ 3 ทราบว่าจำเลยที่ 2มีบุตรชายซึ่งต้องโทษจำคุกในคดีเมทแอมเฟตามีน จึงให้ข้อมูลดังกล่าวแก่เจ้าพนักงานตำรวจนอกจากนี้พยานโจทก์ยังมีพยานอีก 2 ปาก คือ ร้อยตำรวจเอกสามารถเนียรทะศาสตร์ และสิบตำรวจโทนิยม สุนทราวงศ์ เบิกความว่า ได้ร่วมกันไปตรวจสถานที่เกิดเหตุในคืนเกิดเหตุทันทีไม่ปรากฏร่องรอยงัดแงะที่คนร้ายใช้เป็นช่องทางเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายทั้งสาม เมื่อสอบถามข้อเท็จจริงต่าง ๆ จากผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 แล้วก็ได้ติดตามไปจับกุมจำเลยที่ 1 ได้ที่บ้านซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของผู้เสียหายทั้งสามประมาณ500 เมตร เมื่อนำตัวจำเลยที่ 1 ไปสถานีตำรวจนครบาลบึงกุ่ม และทำการตรวจสภาพร่างกายก็พบที่นิ้วของจำเลยที่ 1 มีบาดแผล และที่บริเวณโคนขามีรอยผื่นแดง เห็นว่าจากพยานหลักฐานโจทก์ที่ปรากฏ ผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 เป็นสตรีมีวุฒิภาวะและสถานะทางสังคมที่ดีเนื่องจากประกอบอาชีพเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจ ไม่เคยรู้จักกับจำเลยที่ 1 มาก่อน ย่อมไม่มีเหตุผลใดที่จะให้รับฟังว่าปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ 1 และสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้เสียหายที่ 1 และที่ 3 ก็มีช่วงเวลาเผชิญหน้ากับคนร้ายนานพอควร โดยเฉพาะผู้เสียหายที่ 3 ได้ต่อสู้โดยพยายามดึงอวัยวะเพศของคนร้ายซึ่งเป็นจุดอ่อนของเพศชาย เนื่องจากคนร้ายเปลือยกาย ภายในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1ก็มีแสงไฟสปอทไลท์ซึ่งติดอยู่หน้าบ้านใกล้กับหน้าต่างห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งมีม่านบาง ๆ ส่องให้ภายในห้องนอนสว่างอยู่บ้าง กับแสงไฟฟ้าภายในห้องน้ำที่ผู้เสียหายที่ 3 เปิดตามไฟไว้ ซึ่งเป็นบริเวณที่ผู้เสียหายที่ 3 ต่อสู้กับคนร้าย ประกอบกับที่บริเวณเหนือข้อเท้าด้านหลังขวาของจำเลยที่ 1 ก็มีรอยด่างเป็นทำนองเดียวกับที่ผู้เสียหายที่ 3เบิกความ ปรากฏต่อศาลตามที่ศาลชั้นต้นได้บันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 13 มีนาคม 2541 ดังนี้ เมื่อพิเคราะห์รวมไปถึงพฤติการณ์อันเป็นพิรุธของจำเลยที่ 2 และการที่คนร้ายเข้าไปภายในบ้านของผู้เสียหายทั้งสามได้โดยง่าย ย่อมมีเหตุผลให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 คือคนร้ายที่ก่อเหตุคดีนี้ พยานจำเลยที่ 1 ที่นำสืบอ้างฐานที่อยู่ล้วนเป็นเครือญาติหรือเพื่อนบ้านกับจำเลยที่ 1 มีข้อน่าระแวงสงสัยว่าเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอรับฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวที่จำเลยที่ 1 เปลือยกายถืออาวุธมีดเข้าไปหาผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งนอนอยู่บนเตียงนอนในห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ในเวลากลางคืน พอดีผู้เสียหายที่ 1 รู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาเห็นจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 พูดขู่มิให้ร้องผู้เสียหายที่ 1 ร้องกรี๊ดสุดเสียง จำเลยที่ 1 จึงชกปากผู้เสียหายที่ 1 และเอามือซ้ายยัดเข้าไปในปากผู้เสียหายที่ 1 ผู้เสียหายที่ 1 จึงกัดนิ้วของจำเลยที่ 1 และดิ้นจนตกจากเตียงนอน ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่ 1 ถูกอาวุธมีดของจำเลยที่ 1 ที่ถือมาบาดที่ข้อมือซ้ายถือว่าจำเลยที่ 1 กระทำการอันไม่สมควรทางเพศแก่ผู้เสียหายที่ 1 โดยขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายและได้ใช้กำลังประทุษร้ายแล้ว จึงเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 และเป็นการบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันควรในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและใช้กำลังประทุษร้ายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(1)(2) และ (3) ประกอบมาตรา 364 หลังจากนั้นเมื่อผู้เสียหายที่ 3 เข้ามาที่ห้องนอนของผู้เสียหายที่ 1 ก็ถูกจำเลยที่ 1 ทำร้ายและจำเลยที่ 1 หยิบเอากระเป๋าที่มีอาวุธปืนของผู้เสียหายที่ 2 เก็บไว้ ซึ่งผู้เสียหายที่ 3นำมาด้วย และตกอยู่ที่พื้นไป ก่อนจะหลบหนี จำเลยที่ 1 วิ่งชนผู้เสียหายที่ 3 และยังใช้อาวุธมีดฟันผู้เสียหายที่ 3 ได้รับบาดเจ็บจึงเป็นการลักอาวุธปืนของผู้เสียหายที่ 2ไปโดยทุจริต โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อสะดวกในการพาทรัพย์นั้นไปหรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุมและเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสาม จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดตามฟ้อง”

พิพากษายืน

Share