คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3204/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่ศาลจะอนุญาตให้คู่ความอุทธรณ์อย่างคนอนาถาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 ต้องประกอบด้วยผู้ขอเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมและต้องแสดงให้เป็นที่พอใจศาลด้วยว่าคดีมีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ หากศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอุทธรณ์ ก็ย่อมมีคำสั่งยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาได้โดยไม่จำต้องไต่สวนเรื่องอนาถา สำหรับเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ได้หรือไม่อาจตรวจดูได้จากคำฟ้องอุทธรณ์ที่ต้องยื่นมาพร้อมกับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ซึ่งเป็นอำนาจตามบทบัญญัติมาตรา 18 ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มีข้อความก้าวร้าว ดูหมิ่น เสียดสีศาล ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้อุทธรณ์แก้ไขคำฟ้องอุทธรณ์หรือให้ทำอุทธรณ์มายื่นใหม่ได้ โดยไม่จำต้องสั่งคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ก่อน
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์และผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ซึ่งเป็นทนายโจทก์ร่วมกันนำคำฟ้องอุทธรณ์ยื่นต่อศาลชั้นต้นโดยในคำฟ้องอุทธรณ์มีข้อความว่า ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงอันเป็นนวนิยายที่จำเลยที่ 1 ผูกเรื่องแต่งขึ้น เป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชน การพิจารณาของศาลชั้นต้นโน้มเอียงเชื่อจำเลยทั้งหมดโดยไม่ได้พิจารณาตามเหตุผล ขาดทั้งวิจารณญาณขาดสามัญสำนึก ไม่เข้าใจในความละเอียดอ่อนของเรื่องครอบครัวพิจารณาคดีโดยขาดจริยธรรม บิดเบือนข้อเท็จจริงจากที่โจทก์นำสืบผู้หญิงทุกคนเมื่อแต่งงานแล้วต้องอยู่กินแบบผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น ไม่มีใครต้องการให้สามีไปมีใหม่ ถามภริยาท่านผู้พิพากษาคนไหนดูก็ได้ว่าจะยอมหรือไม่และไปสู่ขอให้ด้วย เป็นข้อความที่ไม่จำเป็นต้องกล่าวอ้างในคำฟ้องอุทธรณ์แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองมีเจตนาที่จะก้าวร้าว ดูหมิ่น เสียดสีศาล ถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ย่อมเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองยื่นฟ้องอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 15พฤศจิกายน 2543 โดยผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ในฐานะโจทก์ลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์ และผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ในฐานะทนายโจทก์ลงชื่อเป็นผู้เรียงและพิมพ์ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่าข้อความในฟ้องอุทธรณ์มีลักษณะก้าวร้าว ดูหมิ่น เสียดสีศาล จึงดำเนินการไต่สวนแล้ว เห็นว่า การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลและขัดขืนไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาล ถือว่าเป็นการกระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 31, 33 (ที่ถูกมาตรา 31(1), 33) มีคำสั่งให้ลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองคนละ 1 เดือน และปรับคนละ 500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนดคนละ 1 ปี หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน

ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ไม่กำหนดโทษจำคุกและไม่ต้องรอการลงโทษจำคุกผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองประการแรกว่า ก่อนศาลชั้นต้นสั่งคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ ศาลชั้นต้นจะสั่งในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่าคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์นั้นกฎหมายบังคับว่าต้องยื่นมาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 การที่ศาลอนุญาตให้คู่ความอุทธรณ์ได้นั้นต้องประกอบด้วยเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอจะเสียค่าธรรมเนียมและผู้ขอต้องแสดงให้เป็นที่พอใจศาลด้วยว่าคดีมีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ หากศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีไม่มีเหตุอันสมควรที่จะอุทธรณ์ก็ย่อมมีคำสั่งยกคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาได้โดยไม่จำต้องไต่สวนเรื่องอนาถา สำหรับเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ได้หรือไม่อาจจะตรวจดูได้จากคำฟ้องอุทธรณ์ที่ต้องยื่นมาพร้อมกับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ซึ่งเป็นอำนาจตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 เมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 15 พฤศจิกายน2543 มาพร้อมกับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นที่จะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจตรวจคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ได้ก่อนตามบทบัญญัติดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณาว่าสมควรจะไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มีข้อความก้าวร้าว ดูหมิ่น เสียดสีศาล เป็นทำนองว่าศาลทำไปนั้นไม่ยุติธรรม ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้อุทธรณ์แก้ไขคำฟ้องอุทธรณ์หรือให้ทำอุทธรณ์มายื่นใหม่ได้ โดยศาลชั้นต้นไม่จำต้องสั่งคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของโจทก์ก่อน ดังเหตุผลที่วินิจฉัยมาข้างต้น ฎีกาผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองฟังไม่ขึ้น

คดีมีปัญหาวินิจฉัยต่อไปว่า การที่ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นการชอบหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นลงโทษผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองฐานละเมิดอำนาจศาลก็สืบเนื่องมาจากผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์และผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 ซึ่งเป็นทนายโจทก์ ร่วมกันนำคำฟ้องอุทธรณ์ยื่นต่อศาลชั้นต้นโดยในคำฟ้องอุทธรณ์นั้นมีข้อความว่า ศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงอันเป็นนวนิยายที่จำเลยที่ 1 ผูกเรื่องแต่งขึ้นเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรมอันดีของประชาชน การพิจารณาของศาลชั้นต้นโน้มเอียงเชื่อจำเลยทั้งหมดโดยไม่ได้พิจารณาตามเหตุผลขาดทั้งวิจารณญาณ ขาดสามัญสำนึก ไม่เข้าใจในความละเอียดอ่อนของเรื่องครอบครัวศาลชั้นต้นพิจารณาคดีโดยขาดจริยธรรม ศาลชั้นต้นบิดเบือนข้อเท็จจริงจากที่โจทก์นำสืบ และข้อความที่ว่าผู้หญิงทุกคนเมื่อแต่งงานแล้วต้องอยู่กินแบบผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น ไม่มีใครต้องการให้สามีไปมีใหม่ ถามภริยาท่านผู้พิพากษาคนไหนดูก็ได้ว่าจะยอมหรือไม่และไปสู่ขอให้ด้วย ข้อความนี้เป็นการยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นเท่านั้นเห็นว่า ข้อความดังกล่าวที่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองร่วมกันกล่าวอ้างมาในคำฟ้องอุทธรณ์นั้นเป็นข้อความที่ไม่จำเป็นต้องกล่าวอ้างในคำฟ้องอุทธรณ์ แต่ประการใด ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองจะอ้างว่าเขียนขึ้นเพื่อให้ฟ้องอุทธรณ์ชัดเจนหาได้ไม่ แม้ไม่เขียนข้อความดังกล่าวฟ้องอุทธรณ์ของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองก็เป็นฟ้องอุทธรณ์ที่ศาลจะพึงรับไว้พิจารณาได้แต่ผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองกลับร่วมกันกล่าวอ้างข้อความดังกล่าวในคำฟ้องอุทธรณ์แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองมีเจตนาที่จะก้าวร้าว ดูหมิ่น เสียดสีศาล เมื่อนำมายื่นต่อศาลถือว่าเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ย่อมเป็นการกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าการกระทำของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองเป็นการละเมิดอำนาจศาลชอบแล้ว ฎีกาของผู้ถูกกล่าวหาทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”

พิพากษายืน

Share