แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ได้ความว่าเดิมโจทก์ฟ้องขอแบ่งมรดกที่ดิน 3 โฉนดจากจำเลยศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่งที่ดินสองโฉนดตามขอส่วนที่ดินอีกโฉนดหนึ่งที่โจทก์ขอแบ่งนั้นจำเลยให้การว่าหมายเลขโฉนดมิใช่หมายเลขดั่งที่โจทก์ระบุมาในฟ้องโจทก์ทราบแล้วมิได้ขอแก้ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยอย่างไรศาลชั้นต้นจึงไม่พิพากษาให้แบ่งเพราะจะเป็นการเกินคำขอโจทก์มิได้อุทธรณ์ในข้อนี้ต่อมาโจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขึ้นอีกขอให้แบ่งที่ดินตามหมายเลขโฉนดที่จำเลยให้การระบุไว้ไม่ตรงในฟ้องคดีแรกโดยอ้างว่าคดีก่อนโจทก์อ้างเลขโฉนดผิดไปและมิได้ขอแก้ฟ้องเช่นนี้ถือว่าฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำ เพราะคดีก่อนและคดีนี้คู่ความเป็นคนคนเดียวกัน พิพาทกันเรื่องขอแบ่งมรดกที่ดินแปลงพิพาทนี้แปลงเดียวกันนั่นเอง หากโจทก์ฟ้องอ้างเลขโฉนดผิดไปศาลชั้นต้นไม่แบ่งให้เพราะจะเป็นการเกินคำขอของโจทก์โจทก์พอใจมิได้อุทธรณ์จะว่าศาลชั้นต้นไม่ได้พิพากษาเด็ดขาดในเรื่องการแบ่งไม่ได้เพราะศาลชั้นต้นพิพากษาไม่แบ่งนั้นเป็นคำพิพากษาแล้วและถ้าไม่เป็นที่พอใจของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายนั้นย่อมอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปได้ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา148
ย่อยาว
ได้ความว่าเดิมโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้ตามคดีแพ่งเลขแดงที่ 36/2496 ของศาลจังหวัดชลบุรี ขอแบ่งมรดกที่ดินโฉนดที่ 8906, 8902 และ 9284 รวม 3 โฉนดอ้างว่าเป็นทรัพย์มรดกของนางปุกย่าโจทก์ซึ่งตกทอดมาเป็นของจำเลยที่ 1 นายพุฒ และนายเพ็ชร์บิดาโจทก์ แต่นายเพ็ชร์บิดาโจทก์ตายไป โจทก์ผู้เป็นบุตรนายเพ็ชร์ได้รับมรดกแทนที่นายเพ็ชร์ได้ปกครองร่วมกันมากับจำเลยจึงขอแบ่งมรดกที่ดิน 3 โฉนดนี้ 1 ใน 3 ซึ่งเป็นส่วนที่โจทก์ควรได้ศาลจังหวัดชลบุรีพิพากษาให้แบ่งที่ดินโฉนดที่ 8906, 8902 ออกเป็น 3 ส่วนได้แก่โจทก์ 1 ส่วนแต่ที่ดินโฉนดที่ 9284 ที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งนั้นจำเลยให้การว่าความจริงเป็นโฉนดที่ 9287 แต่โจทก์มิได้ขอแก้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยอย่างใดศาลชั้นต้นจึงไม่พิพากษาให้แบ่งเพราะจะเป็นการเกินคำขอโจทก์ก็มิได้อุทธรณ์ จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์คงพิพากษายืน จำเลยฎีกาเมื่อคดีอยู่ระหว่างฎีกาโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยทั้ง 3 เป็นคดีนี้อีก ขอให้แบ่งที่ดินโฉนดที่ 9287ที่ดินอยู่ตำบลหมอนนาง อ. พนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ให้แบ่งเป็นมรดกตกได้แก่โจทก์ 1 ใน 3 ส่วนอ้างว่าโฉนดที่ 9287 ตามที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ศาลก็ได้วินิจฉัยไว้ว่าโจทก์จะต้องได้ส่วนแบ่งเหมือนกับอีก 2 โฉนดเพราะคดีก่อนโจทก์อ้างเลขโฉนดผิดไปและมิได้ขอแก้ฟ้องโจทก์จึงฟ้องขอแบ่งเป็นคดีนี้อีก
จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินโฉนดที่โจทก์ฟ้องเป็นของจำเลยที่ 1 โดยนางปุกยกให้จำเลยและจำเลยได้ครอบครองมา กับตัดฟ้องว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ซ้ำกับคดีแดงที่ 36/2496 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 กับต่อสู้ด้วยว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความจำเลยร้องขอให้ศาลวินิจฉัยขอตัดฟ้องของจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24
โจทก์แถลงว่าที่ดินแปลงที่โจทก์ฟ้องคดีนี้โจทก์ไม่เคยฟ้องขอแบ่งจากจำเลย คดีนี้เป็นคนละประเด็นกับคดีก่อน คดีก่อนศาลยังมิได้พิพากษาว่าเป็นของโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นฟ้องซ้ำ ให้ยกฟ้องโจทก์ โดยไม่ต้องพิจารณาต่อไป
โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่าคดีก่อนศาลมิได้พิพากษายกฟ้องสำหรับที่ดินโฉนดที่ 9287 คือที่พิพาทคดีนี้เพียงแต่ว่าจะบังคับในขณะนี้ไม่ได้ จะถือว่าได้พิพากษาเด็ดขาดแล้วหาได้ไม่ โจทก์จึงฟ้องขอแบ่งที่พิพาทนี้อีกได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ต่อไป
จำเลยฎีกาว่าฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำ อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 148/2495 ประกอบคำบรรยาย
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาคดีนี้แล้วเห็นว่าคดีก่อนและคดีนี้คู่ความเป็นคนเดียวกันพิพาทกันเรื่องขอแบ่งมรดกที่ดินแปลงพิพาทนี้แปลงเดียวกันนั่นเอง หากโจทก์ฟ้องอ้างเลขโฉนดผิดไปศาลชั้นต้นจึงไม่พิพากษาแบ่งมรดกให้โจทก์เพราะจะเป็นการเกินคำขอของโจทก์ โจทก์พอใจมิได้อุทธรณ์ต่อไปจะว่าศาลไม่ได้พิพากษาเด็ดขาดตามความเห็นของศาลอุทธรณ์ได้ไม่เพราะที่ศาลชั้นต้นไม่พิพากษาให้แบ่งมรดกให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งนั้นเป็นคำพิพากษาแล้ว หาใช่ไม่ใช่คำพิพากษาไม่ เมื่อศาลพิพากษาแล้วไม่เป็นที่พอใจของคู่ความฝ่ายใด ฝ่ายนั้นย่อมอุทธรณ์หรือฎีกาต่อไปได้แล้วแต่กรณี ศาลนี้เห็นว่าฟ้องของโจทก์เรื่องนี้เป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ดังตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่จำเลยอ้างมานั้น ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
เหตุนี้จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น