แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
มาตรา 134 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. (ฉบับที่ 20)ฯ ซึ่งตามมาตรา 2 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป พ.ร.บ. ดังกล่าวประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2542 ซึ่งจะพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันถัดจากวันประกาศในวันที่ 15 กันยายน 2543 แต่พนักงานสอบสวนจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2543 ซึ่งมาตรา 134 ทวิ (ที่แก้ไขใหม่) ยังไม่ใช้บังคับ พนักงานสอบสวนจึงไม่ต้องปฏิบัติตามมาตราดังกล่าว การสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 6, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 102 จำคุก 5 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 อายุไม่เกิน 17 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 แล้ว จำคุก 2 ปี 6 เดือน คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยที่ 1 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติเบื้องต้นว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 พร้อมกับยึดเมทแอมเฟตามีน 10 เม็ด และธนบัตรฉบับละ 100 บาท 10 ฉบับ เป็นของกลาง ต่อมาจำเลยที่ 3 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 หรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์ เทิดไทย และนายดาบตำรวจธนู ขอสวัสดิ์ เป็นพยานเบิกความได้ความว่าก่อนเกิดเหตุ 1 เดือน ร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์สืบทราบว่าที่บ้านจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งอยู่ติดกันมีการร่วมกันลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่วัยรุ่นในหมู่บ้าน จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และได้รับคำสั่งให้สืบสวนจับกุม วันที่ 25 เมษายน 2543 ซึ่งเป็นวันเกิดเหตุ เวลา 8 นาฬิกา ร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์กับพวกรวม 8 คน มีนายดาบตำรวจธนูรวมอยู่ด้วยร่วมกันวางแผนจับกุมโดยวิธีใช้สายลับล่อซื้อ ได้นำธนบัตรฉบับละ 100 บาท 10 ฉบับ ไปถ่ายสำเนาและลงรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไว้และตกลงแบ่งกำลังเจ้าพนักงานตำรวจเป็น 2 ชุด ชุดแรกมี 2 คน คือ นายดาบตำรวจธนูและจ่าสิบตำรวจสาคร จวงทันเที๊ยะ ให้ไปซุ่มห่างบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 30 เมตร ชุดที่ 2 ซึ่งมีร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์รวมอยู่ด้วยรออยู่ปากซอยห่างบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 100 เมตร จากนั้นเดินทางไปบ้านจำเลยที่ 1 ก่อนถึงบ้านจำเลยที่ 1 ร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์มอบเงินที่ใช้ล่อซื้อให้สายลับแล้วไปยังจุดนัดหมาย นายดาบตำรวจธนูและสายลับไปบ้านจำเลยที่ 1 นายดาบตำรวจธนูเข้าจุดซุ่ม ส่วนสายลับไปที่บ้านจำเลยที่ 1 นายดาบตำรวจธนูเห็นสายลับเดินเข้าไปในบ้านจำเลยที่ 1 พบจำเลยที่ 1 พูดคุยกันสักครู่ สายลับมอบเงินให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 เดินไปที่บ้านจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 พบกับจำเลยที่ 2 พูดคุยกันและมอบเงินให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 มอบสิ่งของลักษณะเป็นถุงให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เดินกลับมาที่บ้านมอบสิ่งของให้สายลับ นายดาบตำรวจธนูแจ้งให้ร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์ทราบว่าสายลับซื้อเมทแอมเฟตามีนได้แล้ว ส่วนสายลับได้นำเมทแอมเฟตามีนมามอบให้ร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์ ร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์กับพวกไปที่บ้านจำเลยที่ 1 เห็นจำเลยที่ 1 วิ่งขึ้นไปบนบ้าน ร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์กับพวกวิ่งไล่ตามทัน สอบถามจำเลยที่ 1 ว่ามีคนมาซื้อเมทแอมเฟตามีนหรือไม่ จำเลยที่ 1 รับว่ามีธนบัตรที่ได้จากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่จำเลยที่ 2 จำนวน 600 บาท ส่วนอีก 400 บาท อยู่ที่ตนเอง และตรวจค้นพบที่ใต้ผ้าห่มในห้องนอนจำเลยที่ 1 เมื่อนำมาตรวจกับสำเนาภาพถ่ายธนบัตรตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 1 แล้วมีหมายเลขตรงกัน ร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์เข้าตรวจค้นจับกุมจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 รับว่าจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้จำเลยที่ 1 ร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์แจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสองว่าร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แล้วนำตัวจำเลยทั้งสองพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน เห็นว่า การวางแผนจับกุมจำเลยที่ 1 มีการนำธนบัตรฉบับละ 100 บาท 10 ฉบับ ไปถ่ายสำเนาและบันทึกหมายเลขในรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 จากนั้นมอบธนบัตรดังกล่าวให้สายลับนำไปล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 1 โดยนายดาบตำรวจธนูไปซุ่มดูการล่อซื้อห่างบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 30 เมตร ได้ความว่าขณะนายดาบตำรวจธนูซุ่มดูการล่อซื้อเป็นเวลาภายหลังเวลา 8 นาฬิกา เป็นเวลากลางวัน และนายดาบตำรวจธนูอยู่ห่างสายลับและจำเลยที่ 1 ประมาณ 30 เมตร จึงน่าเชื่อว่านายดาบตำรวจธนูสามารถมองเห็นการล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนและจดจำจำเลยที่ 1 ได้ เมื่อจับกุมจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 1 นำธนบัตรฉบับ 100 บาท 4 ฉบับ มามอบให้นายดาบตำรวจธนูและรับว่าได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เมื่อนำธนบัตรดังกล่าวมาตรวจเปรียบเทียบกับสำเนาภาพถ่ายธนบัตรที่เตรียมไปใช้ล่อซื้อตามเอกสารหมาย จ.1 แผ่นที่ 1 ปรากฏว่ามีหมายเลขตรงกัน ซึ่งจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อรับรองความข้อนี้ในสำเนาภาพถ่ายธนบัตรดังกล่าว ร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์แจ้งข้อหาแก่จำเลยที่ 1 ว่าร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามบันทึกการตรวจค้นจับกุมเอกสารหมาย จ.3 และเมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเดียวกันแก่จำเลยที่ 1 ในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ยังคงให้การรับสารภาพตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.7 ไม่ปรากฏว่าร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์กับนายดาบตำรวจธนูมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อนจึงไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่าจะปรักปรำจำเลยที่ 1 ให้ต้องรับโทษจำเลยที่ 1 นำสืบว่าจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในสำเนาภาพถ่ายธนบัตรตามเอกสารหมาย จ.1 โดยเข้าใจว่าลงลายมือชื่อรับว่าเจ้าพนักงานตำรวจนำธนบัตรมาให้ดู และขณะจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อ ไม่มีข้อความในเอกสารดังกล่าว พนักงานสอบสวนบันทึกคำให้การโดยไม่ได้ให้จำเลยที่ 1 อ่านและไม่ได้อ่านข้อความให้จำเลยที่ 1 ฟัง เห็นว่า จำเลยที่ 1 เบิกความลอยๆ ทั้งไม่ได้ถามค้านร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์ซึ่งเป็นผู้บันทึกข้อความในสำเนาภาพถ่ายธนบัตรดังกล่าวและร้อยตำรวจเอกเทียนชัย ศรีธรรม ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนได้ให้ความชัดเจนว่าเป็นดังเช่นที่จำเลยที่ 1 อ้างหรือไม่ คำเบิกความของจำเลยที่ 1 จึงมีน้ำหนักน้อยไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักให้เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 จริง ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่านายดาบตำรวจธนูซุ่มอยู่ที่บริเวณใด มีสิ่งกีดกั้นสายตาระหว่างบริเวณดังกล่าวกับบ้านจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพียงใด ไม่มีการทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุส่งเป็นพยานหลักฐานประกอบคำเบิกความของนายดาบตำรวจธนู ทั้งในบันทึกการตรวจค้นจับกุมบันทึกว่า จำเลยที่ 2 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้สายลับ คำเบิกความของนายดาบตำรวจธนูจึงมีน้ำหนักน้อยนั้น เห็นว่า ศาลรับฟังคำเบิกความของนายดาบตำรวจธนูด้วยเหตุผลหลายประการตามที่ได้วินิจฉัยแล้ว การที่พนักงานสอบสวนไม่ทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุส่งเป็นพยานหลักฐานประกอบคำเบิกความของนายดาบตำรวจธนู จึงไม่ทำให้คำเบิกความของนายดาบตำรวจธนูมีน้ำหนักลดน้อยลงแต่อย่างใด ส่วนบันทึกการตรวจค้นจับกุมที่บันทึกว่า จำเลยที่ 2 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้สายลับ น่าจะเกิดจากความพลั้งเผลอ เพราะบันทึกฉบับเดียวกันก่อนหน้านั้นบันทึกว่าเจ้าพนักงานตำรวจเห็นจำเลยที่ 1 รับธนบัตรจากสายลับแล้วนำไปมอบให้จำเลยที่ 2 และนำเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 มามอบให้สายลับตามบันทึกการตรวจค้นจับกุมเอกสารหมาย จ.3 แผ่นที่ 2 ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ร้อยตำรวจเอกชุมพงษ์กับนายดาบตำรวจธนูเบิกความแตกต่างกันเกี่ยวกับการยึดได้ธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อในสาระสำคัญนั้นเห็นว่า ศาลฎีกาได้วินิจฉัยเกี่ยวกับธนบัตรดังกล่าวแล้ว จึงไม่วินิจฉัยซ้ำอีก และที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า การสอบสวนไม่ชอบเนื่องจากจำเลยที่ 1 อายุ 17 ปี ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 ทวิ (ที่แก้ไขใหม่) ให้มีทนายความเข้าร่วมสอบสวนด้วยนั้น เห็นว่า มาตรา 134 ทวิ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 20) พ.ศ.2542 ซึ่งตามมาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป พระราชบัญญัติดังกล่าวประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2542 ซึ่งจะพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันถัดจากวันประกาศในวันที่ 15 กันยายน 2543 แต่พนักงานสอบสวนสอบสวนจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2543 ซึ่งมาตรา 134 ทวิ (ที่แก้ไขใหม่) ยังไม่ใช้บังคับ พนักงานสอบสวนจึงไม่ต้องปฏิบัติตามมาตราดังกล่าว การสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 มาตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 และให้ใช้ความใหม่แทนโดยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย บทความผิดตามกฎหมายเดิมเป็นคุณมากกว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่ ส่วนความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนทั้งตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่มีข้อความทำนองเดียวกันตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง จึงต้องใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับ สำหรับคดีนี้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน 10 เม็ด น้ำหนัก 0.92 กรัม และจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำนวน 10 เม็ด โดยไม่ปรากฏว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด กรณีความผิดทั้งสองฐานต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง ที่แก้ไขใหม่ ซึ่งโทษจำคุกเป็นคุณมากกว่าตามกฎหมายเดิมในมาตรา 66 วรรคหนึ่ง จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่บังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จะยุติ แต่คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกขึ้นอ้างและแก้ไขโดยปรับบทกฎหมายและกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสมและถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคหนึ่ง (ที่แก้ไขใหม่) เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทที่แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำเลยที่ 1 ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว จำคุก 2 ปี จำเลยที่ 2 จำคุก 4 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 1 หนึ่งในสามและลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 จำเลยที่ 1 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน และจำเลยที่ 2 คงจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6