คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 253/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขายเรือนให้จำเลย ชำระราคาเสร็จ และส่งมอบเรือนกันแล้ว แต่ไม่ได้จดทะเบียนเพราะโจทก์ลวงจำเลยทั้งที่จำเลยใคร่ที่จะให้โอน โจทก์เรียกเรือนคืนไม่ได้จำเลยบังคับให้จดทะเบียนโอนได้

ย่อยาว

คดีนี้พิพาทกันด้วยเรื่องเรือนเลขที่ 135 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 1741 ตำบลรองเมือง อำเภอปทุมวัน จังหวัดพระนครของกองรักษาที่หลวงกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง

เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยตามคดีแดงที่ 360/2496 ว่าเมื่อประมาณ พ.ศ. 2489 โจทก์ได้ให้จำเลยอาศัยอยู่ที่เรือนพิพาท โจทก์ประสงค์จะรื้อเรือนนั้นเพื่อปลูกสร้างใหม่ จึงบอกกล่าวให้จำเลยออกไป

จำเลยขัดขืนไม่ยอมออก ขอให้ศาลขับไล่

จำเลยต่อสู้ว่า เรือนหลังนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย โดยได้ซื้อจากโจทก์ และชำระราคาแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2485

ศาลแพ่งชี้ขาดว่า จำเลยได้ซื้อเรือนพิพาทจากโจทก์และอยู่มา 7-8 ปีแล้วถึงจะไม่ได้ทำหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อันเป็นโมฆะกรรมแต่จำเลยก็มีสิทธิครอบครอง จำเลยหาได้อยู่โดยทางอาศัยโจทก์ไม่ กระนั้นศาลก็พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไม่ได้ เพราะโจทก์มิได้ฟ้องขอกลับเข้าคืนยังฐานะเดิม จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์คดีถึงที่สุด

บัดนี้โจทก์ฟ้องตั้งรูปใหม่ว่าเมื่อ พ.ศ. 2489 จำเลยได้ซื้อเรือนพิพาทจากโจทก์เป็นเงิน 500 บาท การซื้อขายไม่ได้ทำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ย่อมเป็นโมฆะ ต่างต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม เรือนพิพาทคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ซึ่งจำเลยจะต้องส่งมอบคืนให้โจทก์และรับเงิน 500 บาท ที่ชำระไว้ไปจากโจทก์ โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการซื้อขายเป็นโมฆะ บังคับให้จำเลยมอบเรือนพิพาทให้โจทก์และรับเงิน 500 บาท คืนไป ให้จำเลยและบริวารออกจากเรือน อย่าเกี่ยวข้องอีกต่อไป

จำเลยต่อสู้ว่า ได้ซื้อเรือนพิพาทจากโจทก์โดยสุจริต ได้ชำระราคา และรับมอบเรือนจากโจทก์อยู่มาจนบัดนี้ การครอบครองของโจทก์ได้สิ้นสุดแล้วจำเลยได้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377, 1378, 1367 โดยสมบูรณ์ ในเรื่องนิติกรรมเป็นโมฆะ ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติให้คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม เช่นโมฆียกรรม นอกจากจะฟ้องฐานลาภมิควรได้ซึ่งขาดอายุความตามมาตรา 419 แล้ว กับตัดฟ้องว่า โจทก์ฟ้องซ้ำกับคดีแดงที่ 360/2496 ในที่สุดได้ฟ้องแย้งว่า แม้การซื้อขายจะไม่สมบูรณ์เป็นการซื้อขายเด็ดขาด ก็ถือได้ว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อจำเลยได้ชำระราคาแก่โจทก์ และโจทก์มอบเรือนให้จำเลยแล้ว โจทก์มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องไปโอนกรรมสิทธิ์แก่จำเลย จึงขอให้ศาลบังคับโจทก์ไปทำการโอนให้จำเลย ณ ที่ว่าการ อำเภอปทุมวัน หรือขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาโอนของโจทก์แก่จำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยตกลงกับจำเลยจะไปโอนกรรมสิทธิ์เรือนพิพาทให้แก่จำเลย

คู่ความรับกันว่า โจทก์จำเลยได้ตกลงเรื่องซื้อขายเรือนพิพาทด้วยวาจา จำเลยได้ชำระเงินราคาเรือนให้แก่โจทก์ โจทก์ได้มอบเรือนพิพาทให้จำเลยเข้าอยู่ก่อนฟ้องยังไม่ถึง 10 ปี ฝ่ายจำเลยอ้างว่าโจทก์ได้ตกลงจะไปโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยด้วย

ศาลแพ่งสั่งให้จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน เมื่อได้มีการพิจารณาแล้ว ศาลแพ่งวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเรือนคืนจากจำเลยโดยอ้างว่า สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมอันเป็นคนละข้อหากับคดีเดิม ซึ่งโจทก์ฟ้องขับไล่ให้จำเลยออกจากเรือนพิพาทโดยอ้างว่าอาศัย จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148

ศาลแพ่งเห็นต่อไปว่า สัญญาซื้อขายเรือนพิพาทมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นโมฆะ เท่ากับไม่มีนิติสัมพันธ์อะไรต่อกันโจทก์จะฟ้องขอให้ทำลายซื้อขายไม่ได้ เพราะไม่มีสัญญา โจทก์จะเรียกคืนจากจำเลยได้ก็ในฐานลาภมิควรได้ ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันโจทก์รู้ว่าคนมีสิทธิเรียกคืน คือนับแต่วันซื้อขายกันโจทก์ปล่อยให้จำเลยครอบครองเรือนมา 8-9 ปี จึงมาฟ้องเรียกคืนคดีขาดอายุความแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 419

ฟ้องแย้งของจำเลยนั้น ศาลแพ่งวินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะซื้อขายเรือนพิพาทกันโดยสุจริต จำเลยได้ชำระราคาให้โจทก์โจทก์ก็มอบเรือนให้จำเลยครอบครองมา 8-9 ปี พฤติการณ์เป็นที่พึงสันนิษฐานได้ว่า แม้สัญญาซื้อขายของโจทก์จำเลยจะไม่สมบูรณ์เป็นสัญญาซื้อขายเด็ดขาด ก็ย่อมสมบูรณ์เป็นสัญญาจะซื้อขาย โจทก์มีหน้าที่ต้องไปทำสัญญาซื้อขายเรือนพิพาทให้จำเลย จึงพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ไปทำสัญญาขายเรือนพิพาท เลขที่ 135ให้จำเลยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ หากไม่สามารถทำได้ ให้ถือคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตามพฤติการณ์แสดงเจตนาของโจทก์จำเลยว่าได้ซื้อขายเรือนกันเด็ดขาด หาใช่เป็นสัญญาจะซื้อขายไม่ ที่จำเลยฟ้องแย้งว่าเป็นสัญญาจะซื้อขายเพราะโจทก์ตกลงว่าโจทก์จะไปโอนกรรมสิทธิ์เรือนให้จำเลยภายหลังนั้น ไม่ได้ความว่าโจทก์ได้พูดตกลงไว้ และจำเลยก็ไม่เคยไปพูดขอให้โจทก์ไปทำหนังสือซื้อขาย และจดทะเบียนที่อำเภอ โดยที่สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 เรือนพิพาทยังเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์อย่างเดิม โจทก์มีสิทธิเรียกคืนได้ จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า สัญญาซื้อขายเรือนพิพาทเป็นโมฆะ ให้จำเลยส่งมอบเรือนพิพาทคืนโจทก์ และรับเงินราคาเรือน 500 บาทจากโจทก์ ให้จำเลยและบริวารออกจากเรือนพิพาท มิให้เกี่ยวข้องต่อไป ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีแล้ว คดีเดิมศาลมิได้พิพากษาแสดงว่า การซื้อขายเป็นโมฆะ เป็นแต่ศาลชั้นต้นยกขึ้นกล่าวเพื่อแสดงว่าจะบังคับจำเลยในทางนั้นมิได้ เพราะโจทก์มิได้มีคำฟ้องมาเช่นนั้นโจทก์จึงมาฟ้องในคดีนี้ใหม่ ขอให้ศาลพิพากษาว่าการซื้อขายเป็นโมฆะ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้ยินยอมขายเรือนพิพาทให้แก่จำเลย จำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์แล้ว คงขาดเพียงยังมิได้ทำตามแบบเท่านั้น โจทก์จำเลยมีความสนิทชิดเชื้อกันมาก โจทก์ได้มอบเรือนพิพาทให้จำเลยเข้าอยู่อาศัย มีพฤติการณ์แสดงว่า โจทก์ลวงจำเลยให้หลง เพื่อฉวยโอกาสที่ยังมิได้ไปจดทะเบียนที่อำเภอ คิดมิชอบต่อจำเลยทั้งที่จำเลยใคร่ที่จะให้ได้ไปทำการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตลอดมา เพราะฉะนั้นตามที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้อง จึงฟังไม่ได้ คดีชอบที่จะบังคับโจทก์ตามจำเลยฟ้องแย้ง

จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์และบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลแพ่ง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ3 ศาล รวม 250 บาท แทนจำเลยด้วย

Share