แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บรรยายฟ้องว่าจำเลยยักยอกเงินค่าภาษีโรงค้ารายนายฉลองไป600 บาท แต่ต่อมานำส่งเสีย 57.60 บาท จำเลยยักยอกไปเพียง542.40 บาท ดังนี้จัดว่าชัดเจนพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาฐานยักยอกได้ดีตาม มาตรา158 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หาเคลือบคลุมไม่
แม้ข้อเท็จจริงทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยยักยอกเงินค่าภาษีรายนายฉลองไป 600 บาท มิใช่ 542.40 บาท ดังข้อหาให้จำเลยรับผิดตามฟ้องก็ดีการฟังข้อเท็จจริงดังนี้เพราะเงิน 57.60 บาท ที่จำเลยนำส่งเป็นค่าภาษีรายนายช่อล้องมิใช่รายนายฉลองฉะนั้นเงินค่าภาษีรายนายฉลองที่จำเลยยักยอกจึงคงมี 600 บาทจึงถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาต่างกับฟ้องเช่นนี้หาเป็นเหตุให้ยกฟ้องโจทก์ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา192ได้ไม่
ถึงจำเลยจะมีหน้าที่เขียนต้นขั้วใบเสร็จรับเงินด้วยตนเองก็ดีแต่ถ้าจำเลยตกเติมแก้ไขต้นขั้วใบเสร็จนั้นโดยมีเจตนาปลอมแปลงจากเดิมให้เข้าใจผิดเป็นอย่างอื่นและอาจเกิดการเสียหายขึ้นได้ดังนี้จำเลยก็หาพ้นความรับผิดฐานปลอมหนังสือไม่
การที่จะวินิจฉัยข้อกฎหมายนั้นศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อครั้งจำเลยเป็นผู้ช่วยสมุห์บัญชี กิ่งอำเภอทุ่งหว้า มีหน้าที่เก็บรักษาเงินภาษีอากรได้รับชำระเงินค่าภาษีโรงค้าจากนายฉลอง 600 บาทและไม่ลงบัญชีส่งเป็นเงินผลประโยชน์ของรัฐบาล คงส่งเพียง 57.60 บาท นอกนั้นยักยอกเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัว ทั้งนี้โดยจำเลยได้ยักยอกภาษี 542.40 บาท ซึ่งจำเลยไม่ได้นำส่งเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสียเลย และจำเลยได้ปลอมหนังสือสำคัญในราชการโดยแก้ไขต้นขั้วใบเสร็จรับเงินที่ออกให้นายฉลองผู้ชำระค่าภาษีโรงค้าเป็นนายช่อล้องแก้จำนวนเงินจาก600 บาท เป็น 57.60 บาทและแก้วันเดือนปีที่รับชำระเงินอันเป็นเท็จกระทำให้สาธารณชนและรัฐบาลเสียหาย ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธและว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมการแก้ไขเพิ่มเติมไม่เป็นผิดฐานปลอมหนังสือตามมาตรา 222, 225 พิพากษาว่าจำเลยมีผิดตามมาตรา 13 (ที่แก้ไข) ให้ใช้เงิน 600 บาท ลงโทษจำคุก 1 ปี
โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่าจำเลยมีผิดตามมาตรา 225 (ที่แก้ไข) ฐานปลอมหนังสือสำคัญในราชการอีกกระทงหนึ่งให้รวมกระทงลงโทษกับกระทงที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยมาด้วยกันเป็นจำคุก 3 ปี
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย 3 ข้อ 1. ฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานยักยอกเคลือบคลุม 2. ข้อเท็จจริงในการพิจารณาต่างกับที่กล่าวในฟ้อง 3. การกระทำของจำเลยไม่ผิดฐานปลอมหนังสือเพราะจำเลยเป็นผู้ขีดฆ่าแก้ไขต้นขั้วใบเสร็จรับเงินเองโดยสุจริตซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องกระทำ
ศาลฎีกาเห็นว่าในปัญหาข้อ 1.โจทก์ได้กล่าวบรรยายในฟ้องชัดแจ้งพอจะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีโดยกล่าวแสดงว่าครั้งแรกจำเลยยักยอกเงินภาษีโรงค้ารายนายฉลอง เอี้ยวสกุล ไป 600 บาทแต่ต่อมาได้นำส่งเสีย 57.60 บาท จำเลยคงยักยอกไปเพียง 542.40 บาทในที่สุดดั่งที่มีคำขอท้ายฟ้องให้จำเลยใช้เงินจำนวน 542.40 บาทนั้น ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
ในปัญหาข้อ 2 เห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจะได้ความว่าจำเลยยักยอกเงินค่าภาษีโรงค้ารายนายฉลอง เอี้ยวสกุล ไป 600 บาทมิใช่ 542.40 บาท ดังข้อหา ให้จำเลยรับผิดตามฟ้องของโจทก์ก็ดีการฟังข้อเท็จจริงดังนั้นเพราะถือว่าในจำนวนเงิน 57.60 บาทที่จำเลยนำส่งเป็นเงินค่าภาษีโรงค้ารายนายช่อล้องมิใช่เงินค่าภาษีโรงค้ารายนายฉลอง เอี้ยวสกุล เงินค่าภาษีโรงค้ารายนายฉลองเอี้ยวสกุล ที่จำเลยยักยอกไปคงมีจำนวน 600 บาท ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องดังกล่าวมานั้นหาเป็นเหตุที่จะให้ยกฟ้องโจทก์เสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ไม่
ส่วนปัญหาข้อ 3. นั้นศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงมาแล้วว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตยักยอกเงินค่าภาษีรายนายฉลอง เอี้ยวสกุลการที่จำเลยตกเติมแก้ไขต้นขั้วใบเสร็จรับเงินค่าภาษีโรงค้าจำนวน 600 บาทรายนายฉลอง เอี้ยวสกุล เป็นว่ารับเงินจากนายช่อล้องเป็นเงินเพียง 57.60 บาท นั้นเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาปลอมแปลงต้นขั้วเอกสารหมาย 3 จ. ที่จำเลยยักยอกเงิน 600 บาทของรัฐบาลรายนายฉลอง เอี้ยวสกุล ไปแล้วนั้น ก็เพื่อเป็นการคิดการเปลี่ยนแปลงหลักฐานหมาย 3 จ. จากเดิมให้เข้าใจผิดเป็นอย่างนั้น การกระทำของจำเลยอาจเสียหายแก้สาธารณะและรัฐบาล ซึ่งศาลฎีกาจะต้องฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 ฉะนั้นแม้จำเลยจะมีหน้าที่เขียนต้นขั้วใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย 3 จ. ด้วยตนเองจำเลยก็หาพ้นผิดฐานปลอมหนังสือไปได้ไม่
จึงพิพากษายืน