แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
สัญญาใช้บัตรเครดิตเป็นข้อตกลงที่โจทก์ผู้ประกอบธุรกิจออกบัตรเครดิตให้แก่จำเลยเพื่ออำนวยความสะดวกแก่จำเลยในการชำระค่าสินค้าและบริการแทนเงินสดรวมทั้งเบิกถอนเงินสดไปจากโจทก์ โดยโจทก์จะออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยไปก่อนและโจทก์คิดค่าธรรมเนียมในการให้บริการบัตรเครดิตจากจำเลยโจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ ให้จำเลย โดยจำเลยตกลงยอมให้โจทก์เรียกเอาเงินที่ได้ทดรองออกไปคืนจากจำเลยได้ เงินที่โจทก์ทดรองจ่ายแทนจำเลยตามข้อตกลงจึงเป็นหนี้ตามสัญญาที่เกิดจากบัตรเครดิต และมีอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้อง 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/34(7) จำเลยมียอดหนี้การใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายวันที่ 20 ธันวาคม 2538 และโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระเงินตามยอดหนี้ดังกล่าวภายในวันที่ 4 มกราคม 2539 พร้อมกับแจ้งการยกเลิกการใช้บัตรเครดิตของจำเลย จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 5มกราคม 2539 เป็นต้นไป โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 15 ธันวาคม 2541คดีของโจทก์จึงขาดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นสมาชิกบัตรเครดิตขวัญนครของโจทก์จำเลยผิดนัดไม่ชำระเงินคืนตามที่โจทก์ได้ทดรองจ่ายไป โจทก์บอกเลิกการเป็นสมาชิกบัตรแล้ว ขอให้จำเลยชำระต้นเงิน เบี้ยปรับและค่าธรรมเนียมรวมจำนวน 232,403.95 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 28ต่อปี ของต้นเงิน 137,308.50 บาท แก่โจทก์ นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์จากการใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2538 รวมเป็นเงิน 140,914.97 บาท และกำหนดชำระวันที่ 4 มกราคม 2539 จำเลยผิดนัดมิได้ชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์ยกเลิกการใช้บัตรเดือนมกราคม 2539 ยอดหนี้ของจำเลยเพิ่มสูงขึ้นถึงวันฟ้องเป็นเงิน 232,403.95 บาท เนื่องจากโจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นเรื่อยมานับแต่จำเลยผิดนัด ฟ้องโจทก์ขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 140,914.97 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แก่โจทก์นับแต่วันที่ 5 มกราคม2539 จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สัญญาใช้บัตรเครดิตเป็นข้อตกลงที่โจทก์ผู้ประกอบธุรกิจออกบัตรเครดิตให้จำเลยเพื่ออำนวยความสะดวกแก่จำเลยในการชำระค่าสินค้าและค่าบริการโดยใช้บัตรเครดิตที่โจทก์ออกให้แทนการชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการด้วยเงินสดตลอดจนสามารถใช้บัตรเครดิตดังกล่าวเบิกถอนเงินสดไปจากโจทก์ อันเป็นส่วนหนึ่งของการให้บริการอำนวยความสะดวกที่โจทก์ตกลงให้แก่จำเลย โดยโจทก์จะออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยไปก่อน และโจทก์คิดค่าธรรมเนียมในการให้บริการบัตรเครดิตดังกล่าวจากจำเลย โจทก์จึงเป็นผู้ประกอบธุรกิจรับทำการงานต่าง ๆ ให้จำเลย โดยจำเลยตกลงยอมให้โจทก์เรียกเอาเงินที่ได้ทดรองออกไปคืนจากจำเลยได้ เงินที่โจทก์ทดรองจ่ายแทนจำเลยตามข้อตกลงข้างต้นจึงเป็นหนี้ตามสัญญาที่เกิดจากบัตรเครดิต และมีอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้อง 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34(7) จำเลยมียอดหนี้การใช้บัตรเครดิตครั้งสุดท้ายวันที่ 20 ธันวาคม 2538 และโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยชำระเงินตามยอดหนี้ดังกล่าวภายในกำหนดวันที่ 4 มกราคม2539 พร้อมกับแจ้งยกเลิกการใช้บัตรเครดิตของจำเลย จำเลยไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาที่โจทก์แจ้ง โจทก์ย่อมบังคับสิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ได้ตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2539 เป็นต้นไป โจทก์นำคดีมาฟ้องวันที่ 15 ธันวาคม 2541 คดีของโจทก์จึงขาดอายุความตามคำให้การต่อสู้คดีของจำเลย คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน