คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4330/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ในฐานะผู้จ่ายหรือผู้รับรองตั๋วแลกเงินได้ใช้เงินให้แก่ผู้รับเงินตามตั๋วแล้วฟ้องไล่เบี้ยเอาจากผู้ออกตั๋วแลกเงินนั้น ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 หาใช่มีอายุความ3 ปี ตามมาตรา 1001 ไม่ เมื่อตั๋วแลกเงินฉบับสุดท้ายที่จำเลยที่ 1เป็นผู้ออกนับแต่วันครบกำหนดสั่งจ่ายถึงวันฟ้องยังไม่พ้น 10 ปีฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเอ็ดร่วมกันชำระเงินจำนวน 20,045,611.68 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19.5ต่อปี ของต้นเงิน 13,814,695.86 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ขอให้ยึดทรัพย์ที่จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสิบเอ็ดขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ

จำเลยที่ 1 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 8 ที่ 9 และที่ 11 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 7 และที่ 10 ให้การขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 7 และจำเลยที่ 11 ถึงแก่ความตาย ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ถอนฟ้องและให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 7 ออกจากสารบบความ และเรียกจำเลยที่ 8 กับนายพิชิตอาวิพันธุ์ ซึ่งเป็นทายาทของจำเลยที่ 11 เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 11ตามคำร้องของโจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 16,154,663.99บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 5,400,488.98 บาทนับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2537 และอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน6,525,923.38 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 15 มกราคม 2541)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดจำนวน14,254,175.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน5,400,488.98 บาท นับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2537 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 6,525,923.38 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดจำนวน 4,500,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2537เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดจำนวน 5,000,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 2,000,000 บาทนับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2537 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 3,000,000 บาท นับแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดจำนวน 5,500,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 1,000,000 บาทนับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2537 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 4,500,000 บาท นับแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 8 ที่ 9 และที่ 10 ร่วมรับผิดคนละ14,254,175.01 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน3,500,000 บาท นับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2537 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 6,525,923.38 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 8 กับนายพิชิต อาวิพันธุ์ ในฐานะทายาทของจำเลยที่ 11 ร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 15,254,175.01บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 4,500,000 บาทนับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2537 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 6,525,923.38 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ทั้งนี้จำเลยที่ 8 และนายพิชิตไม่จำต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกของจำเลยที่ 11 ที่ตกได้แก่ตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1601 หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบตามความรับผิดของจำเลยแต่ละคนให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 18160, 18161,26747, 26748, 26751, 26932, 26933 ตำบลลวงเหนือ อำเภอดอยสะเก็ดจังหวัดเชียงใหม่พร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ดินโฉนดเลขที่ 9427, 13804, 15414ตำบลสันนาเม็ง อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างและที่ดินโฉนดเลขที่ 1250 ตำบลดอกแก้ว อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่พร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 8 ถึงที่ 10ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ตามส่วนแห่งความรับผิดของแต่ละคนจนครบถ้วน คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 6

จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความโดยจำเลยที่ 1 ได้ขอให้โจทก์อาวัลตั๋วแลกเงินจำนวน11 ฉบับ โดยฉบับสุดท้ายถึงกำหนดสั่งจ่ายเงินในวันที่ 28 มิถุนายน2537 แต่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2541 ซึ่งเกินกำหนด3 ปี นับแต่วันที่ตั๋วแลกเงินถึงกำหนดชำระ ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันตั๋วแลกเงินจึงไม่จำต้องรับผิดในหนี้ตั๋วแลกเงินตามฟ้องของโจทก์นั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1รับผิดอันเนื่องมาจากโจทก์ในฐานะผู้จ่ายหรือผู้รับรองตั๋วแลกเงินได้ใช้เงินให้แก่ผู้รับเงินตามตั๋วแลกเงินที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายหาใช่เป็นคดีที่ผู้รับเงินหรือผู้ทรงฟ้อง ผู้รับรองตั๋วแลกเงิน หรือผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 ซึ่งมีกำหนดอายุความ 3 ปีไม่ การที่โจทก์ในฐานะผู้จ่ายหรือผู้รับรองตั๋วแลกเงินได้ใช้เงินให้แก่ผู้รับเงินตามตั๋วแล้วฟ้องไล่เบี้ยเอาจากผู้ออกตั๋วแลกเงินนั้น ไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 นับแต่ตั๋วแลกเงินฉบับสุดท้ายที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกถึงกำหนดสั่งจ่ายในวันที่ 28 มิถุนายน2537 ถึงวันฟ้องวันที่ 15 มกราคม 2541 ยังไม่พ้น 10 ปี ฟ้องโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

ส่วนที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์ว่า เมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4ต้องรับผิดชำระเงินตามตั๋วแลกเงินพิพาทให้โจทก์นับแต่วันฟ้อง ซึ่งถือเป็นวันที่โจทก์ใช้สิทธิไล่เบี้ย ดังนั้น จำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในส่วนของดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องและเนื่องจากตั๋วแลกเงินพิพาทมิได้ระบุเรื่องดอกเบี้ยไว้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเรียกเอาดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 เพียงในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 968(2) ประกอบมาตรา 985 เท่านั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันที่ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ตามสัญญาค้ำประกันที่ผู้ค้ำประกันตกลงยอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิไล่เบี้ยเอากับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ในเรื่องตั๋วเงินไม่ศาลชั้นต้นพิพากษามาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 และที่ 4ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share