คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 758/2501

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้แสดงสิทธิที่ดินมรดกของบิดาโจทก์ ซึ่งจำเลยผู้เป็นบิดาเลี้ยง และมารดาโจทก์ครอบครองแทนโจทก์มา จำเลยต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยก่อนได้กับมารดาโจทก์ และว่ามีคนภายนอกฟ้องจำเลยมาครั้งหนึ่ง โจทก์ย่อมนำสืบพยานได้ว่า คดีที่คนภายนอกฟ้องจำเลยนั้น เป็นเรื่องฟ้องมรดกของบิดาโจทก์ โดยโจทก์ไม่ต้องอ้างถึงคดีที่ฟ้องกันนี้เป็นประเด็นมาในฟ้อง เพราะเป็นประเด็นที่จำเลยอ้างมาในคำให้การ โจทก์นำสืบแก้ให้เห็นว่าข้ออ้างของจำเลยไม่เป็นความจริงย่อมมีสิทธินำสืบได้

ย่อยาว

คดีเรื่องนี้ พิพาทกันด้วยเรื่องที่สวนผลไม้ 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 11 ไร่เศษ อยู่ในเขตเทศบาลเมืองตะกั่วป่า ตำบลตะกั่วป่า อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ตามแผนที่ประมาณท้ายฟ้อง โดยโจทก์ฟ้องกล่าวความว่าเดิมเป็นของนายเมือง นางสมบุญ บิดามารดาของโจทก์ซึ่งได้ก่นสร้างครอบครองมาประมาณ 55 ปีแล้ว และเมื่อประมาณ 40 ปีมานี้ บิดามารดาได้ยกให้แก่โจทก์แล้วนายเมืองตายไปนางสมบุญมาได้กับจำเลย ต่อมาโจทก์ต่างมีสามีและแยกไปอยู่กับสามีจึงได้ฝากที่สวนนี้ให้นางสมบุญมารดา และจำเลยผู้เป็นบิดาเลี้ยงดูแลแทน โดยจ่ายเงินให้จำเลย และ พ.ศ. 2494 นางสมบุญมารดาโจทก์ตายไปอีก โจทก์ก็ได้ฝากที่สวนนี้ให้จำเลยดูแลแทนโจทก์ต่อไปและจ่ายเงินค่าใช้จ่ายและค่าภาษีบำรุงท้องที่ให้จำเลยตลอดมาโจทก์กับบุตรของโจทก์ก็ได้เก็บกินและขายผลไม้ในสวนนี้ทุกปีครั้นวันที่ 3 มีนาคม 2499 จำเลยกลับเอาที่สวนนี้ไปประกาศขายโจทก์จึงไปร้องคัดค้านไว้ อำเภอสั่งให้โจทก์นำคดีมาฟ้องศาล ดังนี้จึงขอให้ศาลแสดงว่าที่ดินรายนี้เป็นสิทธิของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยและบริการเข้าไปเกี่ยวข้องต่อไป

จำเลยปฏิเสธว่าที่สวนแปลงนี้ ไม่ใช่เป็นของนายเมือง โดยเดิมเป็นของหลวงชาญชิต ๆ ยกให้จำเลยมา 56 ปีแล้ว ก่อนจำเลยได้กับนางสมบุญ เมื่อ พ.ศ. 2456 นางคุ้มบุตรของนายเมืองซึ่งเกิดจากภรรยาคนก่อนได้ฟ้องขับไล่จำเลย และนางสมบุญจากที่สวนแปลงนี้ โดยกล่าวอ้างว่าเป็นที่ดินมรดกของนายเมือง แต่ศาลสั่งว่าเป็นที่ดินของจำเลย หาใช่ของนายเมืองบิดานางคุ้มไม่ โจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้องหรือฝากฝั่งที่ดินแปลงนี้กับนางสมบุญ หรือจำเลยแต่ประการใด จำเลยครอบครองฝ่ายเดียวตลอดมา ไม่ได้อาศัยสิทธิของโจทก์ แม้ศาลจะฟังว่าเป็นที่ดินของโจทก์ โจทก์ก็ได้ปล่อยปละละเลยให้จำเลยครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ อนึ่งฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม มิได้ระบุให้ชัดเจนว่าฝากกันที่ไหน เมื่อใดเสียเงินให้จำเลยเท่าใด อย่างใด

ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาแล้ว เชื่อว่าเป็นที่ดินของโจทก์ฝากจำเลยไว้จริง ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม และไม่ขาดอายุความจึงพิพากษาว่าที่รายพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสอง ห้ามมิให้จำเลยและบริวารเกี่ยวข้องต่อไป

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น แต่ที่ดินแปลงนี้ ยังไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ และโจทก์ขอแต่เพียงให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นสิทธิของโจทก์เท่านั้น จึงพิพากษายืนโดยให้ที่พิพาทเป็นสิทธิของโจทก์

จำเลยฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวน และประชุมปรึกษาแล้ว

ทางพิจารณาคดี โจทก์นำสืบว่า ที่สวนรายพิพาทเป็นของนายเมือง นางสมบุญ บิดามารดาของโจทก์ได้ก่นสร้าง และครอบครองทำมาประมาณ 50 ปีเศษแล้ว เมื่อประมาณ 40 ปีมานี้นายเมืองนางสมบุญยกที่สวนแปลงนี้ ให้แก่โจทก์ทั้งสองผู้เป็นบุตร ต่อมาประมาณ 1 ปี นายเมืองถึงแก่ความตายไป นางสมบุญ และโจทก์คงครอบครองที่สวนนี้ต่อมา แล้วจำเลยมาได้กับนางสมบุญ จึงช่วยครอบครองที่สวนนี้มาด้วยกัน มีนางคุ้มบุตรของนายเมือง ซึ่งเกิดกับภรรยาคนก่อนมาฟ้องนางสมบุญ และโจทก์ทั้ง 2 ด้วยเรื่องมรดกของนายเมือง ในที่สุดศาลพิพากษาให้นาเป็นของนางคุ้มไป 1 แปลงและให้ที่สวนแปลงพิพาทนี้เป็นของโจทก์ทั้ง 2 คน ต่อมาโจทก์ทั้งสองต่างมีสามี และแยกไปอยู่กับสามีของตน จึงได้ฝากที่สวนนี้ให้นางสมบุญและจำเลยดูแลแทน ครั้น พ.ศ. 2494 นางสมบุญถึงแก่ความตาย จำเลยบอกว่าไม่มีเงินทำศพให้โจทก์เอาที่สวนนี้ไปจำนำเสียเพื่อเอาเงินมาทำศพ โจทก์ไม่ยอมและได้ออกเงินทำศพมารดาไปที่สวนแปลงนี้คงฝากให้จำเลยดูแลแทนต่อไปและเสียเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ โดยให้จำเลยเสียแทนตลอดมา แต่ถึงหน้าผลไม้โจทก์กับบุตรของโจทก์ ก็ได้มาช่วยกันเก็บไปกิน และขายทุกปีโดยไม่มีใครหวงห้ามหรือแสดงสิทธิเป็นเจ้าของ เมื่อวันที่ 3 มีนาคม2499 จำเลยกลับเอาที่สวนแปลงนี้ไปประกาศขาย โจทก์จึงไปร้องคัดค้าน และอำเภอสั่งให้โจทก์มาฟ้อง ดังนี้

จำเลยนำสืบว่า ที่สวนแปลงนี้เดิมเป็นของหลวงชาญชิต ๆ ยกให้จำเลยมาได้ 56 ปีแล้ว ก่อนจำเลยได้กับนางสมบุญ เมื่อได้กับนางสมบุญแล้วจึงได้อยู่ร่วมกันกับโจทก์ด้วย นางคุ้มเคยฟ้องจำเลยเรื่องมรดกของนางชุบมารดานางคุ้ม ศาลพิพากษาให้ที่นาแก่นางคุ้มไป 1 แปลง และให้ที่สวนแปลงนี้แก่จำเลย โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่สวนแปลงนี้ ไม่เคยฝากแก่จำเลยอย่างใด จำเลยครอบครองของจำเลยมาเอง ได้แจ้งสิทธิการครอบครองที่ดินไว้แล้ว และเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา โจทก์และบุตรของโจทก์เคยเข้าไปเก็บผลไม้ในที่สวนแห่งนี้ จะเก็บเอาไปมากน้อยเท่าใด ก็ไม่เคยหวงห้ามเพราะเห็นว่าเป็นลูกหลาน

คดีเรื่องนี้ตามคำฟ้อง คำให้การตลอดจนการนำสืบทั้งมวลโจทก์จำเลยโต้เถียงกัน โดยต่างอ้างสิทธิความเป็นเจ้าของในที่สวนรายพิพาทนี้เฉพาะตนโดยตรง และมิได้มีประเด็นเกี่ยวพันถึงเรื่องมรดกของนางสมบุญแต่ประการใดเลย

ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ถ้อยคำพยานของทั้งสองฝ่ายแล้วเห็นว่าฝ่ายโจทก์มีพยานหลายปากเบิกความยืนยันประกอบกันว่า ที่สวนแปลงนี้เป็นของนายเมือง นางสมบุญก่นสร้างขึ้นเอง และครอบครองติดต่อเนื่องกันมา 55 ปีแล้ว และนายเมือง นางสมบุญยกให้แก่โจทก์ทั้ง 2 คน ซึ่งเป็นบุตรนายเมืองตายแล้วนางสมบุญกับโจทก์ครอบครองต่อมา จำเลยมาได้นางสมบุญเป็นภรรยาในภายหลังจึงได้ช่วยครอบครองมาด้วยกัน

เมื่อโจทก์ต่างมีสามีและแยกเรือนไปอยู่กับสามีของตน โจทก์ได้ฝากที่สวนแปลงนี้ให้นางสมบุญมารดาดูแลแทนในลักษณะที่มารดาครอบครองที่สวนแทนบุตรเช่นนั้น แม้จำเลยจะได้ครอบครองร่วมด้วยกับนางสมบุญมา ก็เป็นไปโดยอาศัยสิทธิการครอบครองแทนของนางสมบุญนั้นเองไม่มีพฤติการณ์อันใดที่จะส่อให้เห็นว่า การครอบครองของจำเลยจะเป็นปฏิปักษ์ต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุตรเลี้ยงไปได้ประการใด

ต่อมาถึง พ.ศ. 2494 นางสมบุญถึงแก่ความตายไป โจทก์ยังนำสืบได้ว่าจำเลยบอกว่าไม่มีเงินทำศพนางสมบุญ ให้โจทก์เอาที่สวนแห่งนี้ไปจำนำเสียเพื่อเอาเงินมาทำศพ โจทก์ไม่ยอมและได้ออกเงินของตนเองทำศพมารดาจนเสร็จ ถ้าเป็นที่สวนของจำเลยเองจริงแล้วก็ไม่เห็นว่าจำเลยจะต้องปรึกษาโจทก์เพราะเหตุใด และโจทก์มีพยานยืนยันว่าในวันรดน้ำศพนางสมบุญนั้นเอง โจทก์ยังได้พูดฝากฝังที่สวนแปลงนี้แก่จำเลยสืบต่อไปอีกด้วย โจทก์เคยมอบเงินให้จำเลยไปเสียค่าภาษีบำรุงท้องที่ ถึงคราวหน้าผลไม้ โจทก์กับบุตรของโจทก์ก็ได้มาเก็บผลไม้ไปกินไปขายทุกปีมาพยานของโจทก์ซึ่งเบิกความถึงเหตุการณ์เหล่านี้เช่น นางเสงี่ยม นางซัวะก็เป็นญาติทั้งโจทก์และจำเลยเอง ไม่เห็นมีเหตุอะไรที่จะน่าสงสัยในถ้อยคำพยานโจทก์เหล่านี้ แม้แต่ตัวจำเลยเองก็ให้การยอมรับว่าโจทก์กับบุตรของโจทก์เคยมาเก็บผลไม้ไปจริง มากน้อยเพียงใดจำเลยก็ไม่เคยว่ากล่าวดังนี้ เหตุผลจึงประกอบกันกระทำให้น่าเชื่อว่าเป็นที่สวนของโจทก์ และได้ฝากให้จำเลยดูแลแทนเท่านั้น

ฝ่ายจำเลยนำสืบไม่ได้ว่าเป็นที่ดินเดิมของหลวงชาญชิต เพราะไม่มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์ดั้งเดิม นอกจากพยานที่อ้างว่าได้รับบอกเล่ามาเท่านั้น จึงไม่เป็นหลักฐานอันเพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นนั้นได้

ข้อนำสืบของโจทก์ จำเลย ที่โต้เถียงกันอันเป็นข้อความสำคัญประการหนึ่งก็คือ ต่างฝ่ายต่างอ้างว่าเมื่อนายเมืองตายแล้วมีนางคุ้มบุตรของนายเมือง ซึ่งเกิดด้วยนางชุบภรรยาคนก่อนได้ฟ้องเรื่องที่สวนแปลงพิพาทนี้ โดยฝ่ายโจทก์อ้างว่านางคุ้มฟ้องนางสมบุญและโจทก์ทั้งสองคนเป็นจำเลยขอแบ่งมรดกของนายเมืองในที่สุดศาลพิพากษาแบ่งที่นาให้เป็นของนางคุ้มไป 1 แปลงและให้ที่สวนแปลงนี้เป็นของโจทก์ แต่ฝ่ายจำเลยนั้นตามคำให้การต่อสู้คดีอ้างว่า นางคุ้มฟ้องขับไล่จำเลยและนางสมบุญออกจากที่สวนแปลงนี้ โดยกล่าวว่าเป็นที่ดินของนายเมืองบิดานางคุ้ม แต่ศาลพิพากษาว่าเป็นที่ดินของจำเลย ชั้นนำสืบพยาน นายโฉมพยานจำเลยยืนยันว่า นางคุ้มฟ้องจำเลยเกี่ยวด้วยมรดกของนางชุบมารดานายคุ้มต่างหาก

ทั้ง 2 ฝ่ายมิได้อ้างสำนวนความที่ฟ้องร้องกันนั้นเข้ามาแสดงเพื่อให้เห็นความเท็จและจริง โดยประจักษ์ว่าข้ออ้างของฝ่ายใดเป็นการถูกต้องพิเคราะห์ตามเหตุผลในคำพยานของทั้งสองฝ่ายแล้วก็น่าเชื่อว่า นางคุ้มฟ้องเรื่องมรดกของนายเมืองผู้เป็นบิดาเท่านั้นเอง ซึ่งสมตามถ้อยคำพยานของฝ่ายโจทก์ที่กล่าวอ้างมา แม้แต่คำให้การต่อสู้คดีของจำเลยเอง ก็ระบุชัดเจนว่าฟ้องเรื่องมรดกของนายเมืองและความจริงปรากฏว่านางชุบมารดาของนางคุ้มตายไปช้านานแล้วโดยนางชุบตายมา 5 ปีแล้ว นายเมืองจึงมาได้กับนางสมบุญ และอยู่กินด้วยกันมาอีก 10 ปีเศษ เกิดบุตรคือโจทก์ทั้ง 2 คนนี้จนเกือบเป็นสาวแล้วนายเมืองจึงได้ถึงแก่ความตาย นางคุ้มจะฟ้องคดีเกี่ยวกับมรดกของนางชุบดังที่พยานจำเลยให้การมากระไรได้และจำเลยไม่ได้อ้างสำนวนความดังกล่าวมาหักล้างเหตุผลของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นนั้นคดีจึงไม่มีทางที่จะรับฟังถ้อยคำพยานฝ่ายจำเลยได้ในเหตุเรื่องนี้

ประเด็นข้อนี้ จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าตามฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างเป็นประเด็นขึ้นมาเลยว่า โจทก์ได้สิทธิในที่สวนแปลงนี้ตามคำพิพากษาของศาล จำเลยต่างหากเป็นฝ่ายเสนอข้อเท็จจริงประการนี้ไว้ในคำให้การของจำเลย ดังนั้น การที่โจทก์นำสืบถึงเรื่องเป็นความกับนางคุ้ม จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นของโจทก์ ศาลไม่ควรรับวินิจฉัยให้

ความข้อนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าคดีเรื่องนี้โจทก์มีหน้าที่ที่จะต้องนำสืบก่อน เมื่อจำเลยเสนอข้อเท็จจริงในเรื่องเป็นความกับนางคุ้มขึ้นมาเพื่อตัดฟ้องของโจทก์ ก็เป็นประเด็นข้อหนึ่งในคดีนี้ขึ้นมาแล้ว ซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบแก้ไปในคราวเดียวพร้อมกันกับที่จะต้องนำสืบข้อความตามประเด็นของตนนั้นเพื่อให้เห็นว่าประเด็นข้อกล่าวอ้างของจำเลยไม่เป็นความจริงและความจริงเป็นอยู่อย่างไร โจทก์จึงมีสิทธิที่จะนำสืบได้

ข้อฎีกาของจำเลยที่คัดค้านว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมนั้นศาลฎีกาก็เห็นพ้องตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ฟ้องของโจทก์บรรยายข้อความชัดเจนดีอยู่แล้ว หาใช่เป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่

อาศัยเหตุผลทั้งหลายดังกล่าวมา ศาลฎีกาเห็นว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยไม่มีเหตุผลประการใดที่จะกลับหรือแก้คำพิพากษานั้นได้ ให้ยกเสีย โดยศาลฎีกาพิพากษายืน และให้จำเลยเสียค่าทนายความชั้นนี้แก่โจทก์ 100 บาท

Share