แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีส่วนอาญาศาลได้สืบพยานโจทก์จำเลยและได้มีการวินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นของคดีนั้นว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยได้ขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ชนรถผู้เสียหาย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีถึงที่สุด ดังนี้ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 โดยต้องฟังว่า โจทก์ไม่มีพยานสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิดหรือกระทำละเมิดด้วย แม้ผู้เสียหายจะไม่ได้ฟ้องหรือร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาด้วยก็ตาม
โจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิจากผู้เสียหายก็จำต้องผูกพันตามข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีส่วนอาญาด้วย
ย่อยาว
โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน ก.ท.ศ. -๖๘๘๒ ของนางลี่เค็ง จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ โดยประมาทชนรถหมายเลขทะเบียน ก.ท.ศ. ๖๘๘๒ ดังกล่าวเสียหาย โจทก์ในฐานผู้รับประกันภัยได้เสียเงินค่าซ่อมไปทั้งสิ้น ๔,๐๐๐ บาท จึงรับช่วงสิทธิในความเสียหายดังกล่าว ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย ๔,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ผู้รั่บช่วงสิทธิ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ได้ขายรถยนต์คันเกิดเหตุให้จำเลยที่ ๒ ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้โอนทะเบียน จำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ ศาลแขวงพระนครใต้ได้พิพากษาว่า จำเลยที่ ๒ ไม่ได้ประมาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การและฟ้องแย้งว่า ความประมาทเกิดจากนายสมพลลูกจ้างกระทำการในทางการที่จ้างของนางลี่เค็งผู้เอาประกันภัย ศาลแขวงพระนครใต้ได้พิพากษายกฟ้อง คดีซึ่งจำเลยที่ ๒ เป็นจำเลย โดยวินิจฉัยว่า รถของนางลี่เค็งได้ชนรถของจำเลยที่ ๒ เอง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นความประมาทของจำเลยที่ ๒ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ ศาลจำต้องถือเอาข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา รถคันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ศ.-๖๘๘๒ เสียหายเพียงเล็กน้อย ค่าซ่อมไม่เกิน ๔๐๐ บาท เหตุที่เกิดชนกันเพราะความประมาทของนายสมพล ทำให้รถจำเลยที่ ๒ เสียหายเป็นเงิน ๒,๐๑๕ บาท จึงฟ้องแย้งขอให้โจทก์ซึ่งเป็นผุ้รับประกันภัยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ รับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ๓,๖๙๗ บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ และยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติฟังได้ว่า มูลเหตุกรณีนี้ จำเลยที่ ๒ ได้ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลแขวงพระนครใต้ในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ชนรถยนต์ของนางลี่เค็งซึ่งมีนายสมพลเป็นผู้ขับได้รับความเสียหาย ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด ตามคำพิพากษาอาญาดังกล่าว ศาลแขวงพระนครใต้วินิจฉัยไว้ว่า โจทก์ไม่ได้ตัวนายสมพลและนายสมชาติประจักษ์พยานมาเบิกความในชั้นศาลคงส่งแต่คำให้การชั้นสอบสวนของพยานทั้งสองจึงไม่อาจรับฟังสนับสนุนว่าจำเลยกระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องได้ นอกจากนี้ยังได้วินิจฉัยถึงกรณีแวดล้อมอื่นๆ ประกอบแล้วฟังว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลย(หมายถึงจำเลยที่ ๒ คดีนี้) ขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ชนรถผู้อื่นเสียหายและได้พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานนี้ ศาลฎีกาเห็นว่าในคดีอาญานั้นศาลได้สืบพยานโจทก์จำเลยและได้มีการวินิจฉัยข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นของคดีแล้วว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่า จำเลยที่ ๒ ได้กระทำความผิดตามโจทก์ฟ้อง ดังนั้น ในการพิพากษาคดีนี้ซึ่งเป็นคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ โดยต้องฟังว่า โจทก์ไม่มีพยานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยที่ ๒ ได้กระทำความผิดหรือกระทำละเมิด แม้ผู้เสียหายจะไม่ได้ฟ้องหรือร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญานั้นด้วยก็ตาม ก็หาใช่ข้ออ้างที่ยกขึ้นให้เป็นการฝ่าฝืนหรือขัดต่อบทกฎหมายดังกล่าวได้ไม่ คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙๒๗/๒๕๑๔ ที่โจทก์อ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว พิพากษายืน.