แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมโจทก์เช่าที่ดินจากเทศบาลปลูกตึกพิพาท และจำเลยเป็นผู้เช่าตึกพิพาทจากโจทก์ ต่อมาเทศบาลได้ฟ้องขับไล่โจทก์ให้รื้อตึกพิพาท ในคดีนั้นศาลพิพากษาตามยอม คือโจทก์ยอมยกตึกพิพาทให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเทศบาลและทางเทศบาลยอมให้โจทก์เช่าตึกพิพาทต่อไปอีก 1 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าให้โจทก์ไปทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือต่อเทศบาลภายในวันที่ 1 เม.ย.98 แต่แล้วโจทก์ก็มิได้ไปทำสัญญาเช่ากับเทศบาลเลยเช่นนี้ คำพิพากษาตามยอมนั้นแสดงว่าเทศบาลยอมให้โจทก์เช่าตึกพิพาทนี้แล้วด้วย ส่วนเงื่อนไขที่ว่าต้องไปทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือนั้น เป็นแต่เพียงพิธีการ ภายหลังจากที่โจทก์ยกตึกพิพาทให้เทศบาลนั้นแล้ว เทศบาลไม่ได้เปลี่ยนแปลงฐานะที่จะให้เช่าโจทก์จึงมีสิทธิให้จำเลยเช่าตึกพิพาทและมีสิทธิฟ้องจำเลยได้
ย่อยาว
คดีได้ความว่า เดิมโจทก์ปลูกตึกแถวรายพิพาทในที่ดินของเทศบาลนครกรุงเทพ โดยโจทก์เช่าจากเทศบาล จำเลยเหล่านี้เป็นผู้เช่าตึกแถวรายพิพาทจากโจทก์ ต่อมาวันที่ 4 พ.ย. 2497 เทศบาลได้ฟ้องขับไล่โจทก์ให้รื้อตึกแถวรายพิพาท ครั้นวันที่ 16 มี.ค.2498 โจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับเทศบาล โดยโจทก์ยอมยกตึกรายพิพาทให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเทศบาล และทางเทศบาลยอมให้โจทก์เช่าตึกแถวรายพิพาทต่อไปอีก 1 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าให้โจทก์ไปทำสัญญาเช่าต่อเทศบาลภายในวันที่ 1 เม.ย. 2498 ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม แต่โจทก์ก็มิได้ไปทำสัญญากับเทศบาล และต่อมาเมื่อสัญญาเช่าตึกแถวรายพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยสิ้นอายุลง โจทก์ได้เรียกจำเลยให้มาทำสัญญากันใหม่ แต่ไม่ตกลงกันเรื่องเงินกินเปล่าและระยะเวลาเช่า โจทก์จึงบอกเลิกสัญญากับจำเลย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันว่า ให้ขับไล่จำเลยทุกรายและบริวารออกจากห้องเช่า ให้จำเลยใช้ค่าเช่าที่ค้างชำระและให้จำเลยแต่ละรายใช้ค่าเสียหายแทนค่าเช่า นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากห้อง
จำเลยแต่ละสำนวนฎีกาในข้อกฎหมายว่า
1. โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะสัญญาระหว่างโจทก์กับเทศบาลจะเกิดขึ้นต่อเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2498 ก่อนหน้านั้นสัญญาไม่มีระหว่างโจทก์จำเลย โจทก์จึงจะอ้างว่าเป็นผู้มีสิทธิให้เช่าไม่ได้
2. แม้โจทก์จะเช่าจากเทศบาล โจทก์ไม่ได้ครอบครอง จำเลยเช่าจากเทศบาลตาม มาตรา 569 จำเลยครอบครองตึก จำเลยจึงมีสิทธิดีกว่าโจทก์ตาม มาตรา 543(1)
3. โจทก์ฟ้องไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียกร้องให้เทศบาลเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม
ในประเด็นข้อ 1. ที่ว่าโจทก์จะมีสิทธิฟ้องจำเลยได้หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าต้องพิจารณาตามคำพิพากษาตามยอมระหว่างโจทก์กับเทศบาล คำพิพากษาตามยอมนั้นแสดงว่าเทศบาลได้ยอมให้จำเลยคือโจทก์ในคดีนี้เช่าตึก 13 ห้องรวมทั้งตึกที่จำเลยทั้ง 6 คดีนี้เช่าอยู่ด้วย เมื่อเทศบาลให้จำเลยคือโจทก์ในคดีนี้เช่าแล้ว การทำสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นแต่เพียงพิธีการ ต้องถือว่าโจทก์มีสิทธิเหนือตึกรายพิพาทนี้ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยได้
ตามคำพิพากษาท้ายสัญญายอม สิทธิและหน้าที่ของโจทก์ไม่เปลี่ยนแปลง เดิมทีตึก 13 ห้องเป็นของโจทก์ ๆ ให้เช่าได้ เมื่อโจทก์ยกตึกให้แก่เทศบาล ๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงฐานะของโจทก์ที่จะให้เช่า โจทก์จึงมีสิทธิให้จำเลยเช่าตึกพิพาทได้
ส่วนฎีกาข้อ 2-3 ของจำเลย ๆ ไม่ได้ยกเป็นประเด็นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ไม่วินิจฉัย
พิพากษายืน