แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พฤติการณ์ที่ถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาสละอุทิศโดยปริยายของเจ้าของที่ดินให้ทางเดินซึ่งผ่านที่ดินของตนอันอยู่ในโฉนดที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเพื่อสาธารณะประโยชน์(อ้างฎีกาที่ 701/2499)
ย่อยาว
คดีได้ความว่า ทางรายพิพาทอยู่ในโฉนดที่ 4905 ตำบลท่าใหม่อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ของโจทก์ ประชาชนได้ใช้ทางรายพิพาทเป็นทางเกวียน ทางกระบือสัญจรไปมาได้ทุกฤดูกาลหลายสิบปีมาแล้วก่อนหน้าที่นารายพิพาทจะตกมาเป็นของสามีโจทก์ (ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมได้รับโฉนดมาเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2471 โอนขายให้สามีโจทก์เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2478 ต่อมาสามีโจทก์ตาย โจทก์รับมรดกสามีโอนเป็นของโจทก์เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2486) ครั้นเมื่อที่ดินตกมาเป็นของโจทก์ โจทก์ก็มิได้หวงห้ามประการใด ราษฎรคงใช้เป็นทางสัญจรไปมาได้ทุกฤดูกาล ในชั้นหลังมีรถยนต์บรรทุกหินบรรทุกกระเบื้องและรถยนต์บรรทุกซุงของจำเลยผ่านโจทก์เพิ่งจะมาหวงห้ามเมื่อเดือน 11 พ.ศ. 2497 ก่อนจะเกิดฟ้องร้องกันเป็นคดีนี้ ปรากฏจากแผนที่พิพาทซึ่งนายประสงค์พนักงานผู้ทำแผนที่พยานโจทก์ไปทำมาว่าเหนือจากที่นาของโจทก์ไปก็เป็นทางสาธารณะไปบ้านเขาบายศรีและบ้านป่าแดง และจากทางทิศใต้นาโจทก์ก็มีทางไปตลาดท่าเรือ ฯลฯ และเมื่อนายประสงค์ไปทำแผนที่และนายอำเภอไปตรวจดูที่พิพาทในคราวที่บุตรีโจทก์ปิดทางรายพิพาทถูกกล่าวหาว่ากีดกั้นทางสาธารณะก็ปรากฏว่าทางรายพิพาทเป็นทางเก่าไม่มีตอซังข้าว
ศาลชั้นต้นได้สั่งทำแผนที่ประกอบการพิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ยอมรับรองว่าทางพิพาทเป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าตามข้อเท็จจริงที่ได้ความมาแสดงให้เห็นว่าเจ้าของที่ดินก่อนที่โจทก์รับโอนมาได้อุทิศให้ทางรายพิพาทซึ่งผ่านที่ของตนเป็นทางสาธารณะแล้วโดยปริยาย เจ้าของจึงมิได้มีการสงวนสิทธิหวงห้ามแต่ประการใด ตลอดจนโจทก์มาเป็นเจ้าของแล้วเป็นเวลานานราว 20 ปี ราษฎรคงใช้สัญจรได้ตลอดมา โจทก์ก็มิได้หวงห้าม เพิ่งจะมาหวงห้ามว่าเป็นที่สงวนสิทธิเมื่อเดือน11 พ.ศ. 2497 นี้เอง ฉะนั้นทางรายพิพาทจึงเป็นทางสาธารณะแล้วตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 701/2499 ระหว่าง พนักงานอัยการกรมอัยการโจทก์ นายสง่า เลาหะกาญจน์ จำเลย
พิพากษากลับบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น