คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8660/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าสินค้าที่ซื้อไปจากโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินที่ยังค้างชำระจำนวน 423,933.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยฎีกาแต่เพียงว่าจำเลยค้างชำระอยู่ 353,333.50 บาท เท่านั้น คดีของจำเลยจึงมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเพียง 70,600 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 606,625 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 588,243 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 453,933.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องไม่ให้เกิน 18,382 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์423,933.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าสินค้าที่ซื้อไปจากโจทก์หลายคราวพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดถึงวันฟ้องรวมเป็นเงิน606,625 บาท แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยซื้อสินค้าจากโจทก์เป็นเงิน 583,458.50 บาท แล้วชำระราคาเพียง 159,525 บาท คงค้างชำระอยู่จำนวน 423,933.50 บาท จึงพิพากษาให้จำเลยชำระเงินที่ยังค้างชำระจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยฎีกาแต่เพียงว่าจำเลยได้ชำระหนี้แก่โจทก์แล้วเป็นเงิน 230,125 บาท มิใช่ชำระเพียง129,525 บาท (ที่ถูกต้อง 159,525 บาท) จำเลยจึงค้างชำระอยู่ 353,333.50 บาท นั้น คดีของจำเลยจึงมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเพียง 70,600 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งจำเลยฎีกาว่า ทางนำสืบของจำเลยมีน้ำหนักน่ารับฟังว่า จำเลยได้ชำระค่าสินค้าแก่โจทก์รวมเป็นเงิน 230,125 บาท เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงิน 453,933.50 บาท จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยคงค้างชำระหนี้โจทก์เพียง353,333.50 บาท ดังนั้นทุนทรัพย์พิพาทในชั้นอุทธรณ์จึงมีเพียง100,600 บาท ซึ่งจำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ 2,515 บาท แต่จำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ 606,625 บาท เป็นเงิน15,165 บาท จึงไม่ถูกต้อง ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เกินมาแก่จำเลย”

พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share