แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้จำเลยจะเข้าใจผิดว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 2749ที่จำเลยซื้อมาตั้งแต่ปี 2472 ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ที่ดินแปลงดังกล่าว จึงไม่ใช่การครอบครองที่ดินของตนเองอันจะอ้างครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ เมื่อจำเลยครอบครองที่ดินซึ่งเป็นของโจทก์อันเป็นการครอบครองที่ดินของผู้อื่น ลักษณะครอบครองของจำเลยแสดงออกโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลานานกว่า10 ปีแล้ว จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และการนับระยะเวลาครอบครองนั้นนับตั้งแต่เวลาที่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองที่ดินตลอดมา หาใช่นับแต่วันที่ทำการรังวัดแล้วทราบว่าครอบครองที่ดินสลับแปลงกันไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองกับบริวารรื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 2750 ของโจทก์ห้ามยุ่งเกี่ยวอีกต่อไปและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 5,000 บาทนับจากวันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินดังกล่าว
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันและจำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2750 ทางด้านทิศตะวันตกเนื้อที่ 49 ไร่ 75 ตารางวาของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์ ให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 และให้โจทก์จดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อทางทะเบียนจากโจทก์มาเป็นจำเลยที่ 1 ในส่วนที่จำเลยที่ 1 ครอบครองดังกล่าว หากโจทก์ไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ และห้ามมิให้โจทก์จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมใด ๆ หรือก่อภาระผูกพันใด ๆ ในที่ดินส่วนที่จำเลยที่ 1 ครอบครองดังกล่าว
โจทก์ให้การแก่ฟ้องแย้งว่า ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตาย นายอุดม โซ๊ะมณีนางสาวสมัย โซ๊ะมณี นางเจริญ บัวเจริญ นายสอาด โซ๊ะมณี นายกมลโซ๊ะมณี นางฮับเซาะ อาบัส และนางอาซ๊ะ มิตรมานะ บุตรจำเลยที่ 1ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2750 ตำบลบ้านดอนเกาะกา(คลองซอยที่ 21 ฝั่งเหนือ) อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา บางส่วนตามแผนที่วิวาทภายในกรอบเส้นสีแดงเนื้อที่ประมาณ 49 ไร่ 3 งาน 32 ตารางวา(เว้นแต่ส่วนที่หักเป็นถนนสาธารณะ) เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 คำขอตามฟ้องแย้ง นอกจากนี้ให้ และให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าที่ดินพิพาทบริเวณภายในกรอบเส้นสีแดงตามแผนที่วิวาทเอกสารหมายล.3 จำเลยที่ 1 ครอบครองทำประโยชน์ปลูกบ้านอยู่อาศัยและมีบ้านของจำเลยที่ 2 อยู่ด้วย ตั้งอยู่บนโฉนดที่ดินเลขที่ 2750 ซึ่งมีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยที่ 1 จะเข้าใจผิดว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 2749 ที่จำเลยที่ 1 ซื้อมาตั้งแต่ปี 2472 ก็ตาม แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ที่ดินแปลงดังกล่าว จึงไม่ใช่การครอบครองที่ดินของตนเองอันจะอ้างครอบครองปรปักษ์ไม่ได้ตามที่โจทก์ฎีกา เมื่อจำเลยที่ 1ครอบครองที่ดินซึ่งเป็นของโจทก์อันเป็นการครอบครองที่ดินของผู้อื่นลักษณะครอบครองของจำเลยที่ 1 กับพวกแสดงออกโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลามากกว่า 10 ปีแล้ว จำเลยที่ 1จึงได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และการนับระยะเวลาครอบครองนั้น นับตั้งแต่เวลาที่จำเลยที่ 1 เข้ายึดถือครอบครองที่ดินตลอดมาหาใช่นับแต่วันที่ทำการรังวัดแล้วทราบว่าครอบครองที่ดินสลับแปลงกันไม่อีกทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นการแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดโดยชัดแจ้งไม่เป็นการครอบครองแทนบุคคลอื่น และแม้บุคคลอื่นจะยอมคืนที่ดินให้ถูกต้องตามโฉนดที่ดินก็หากระทบต่อสิทธิของจำเลยที่ 1 ไม่ เมื่อการครอบครองของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 เป็นการครอบครองโดยชอบ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน