แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเคยขอเลื่อนคดีมาครั้งหนึ่งแล้ว ในครั้งหลังจำเลยขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุว่า จำเลยมีอาชีพเลี้ยงสุกรและสุกรล้มป่วยเนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลง จำเลยต้องการดูแลสุกรจึงไม่อาจมาศาลได้ กรณีมิใช่เหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ อีกทั้งตามคำขอเลื่อนคดีมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจศาลว่า ถ้าไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีจะทำให้เสียความยุติธรรมศาลจึงไม่อาจให้เลื่อนคดีได้ ดังนั้น ปัญหาตามฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาอันไม่ควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมและจำนองแก่โจทก์เป็นเงิน 519,570.75 บาท พร้อมดอกเบี้ย ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จในวันนัดสืบพยานจำเลยวันที่ 9 พฤศจิกายน 2541ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาต งดสืบพยานจำเลยและนัดฟังคำพิพากษาในวันเดียวกัน โดยพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ให้เลื่อนคดีเป็นการไม่ชอบ นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยไว้ครบถ้วนชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยเคยขอเลื่อนคดีมาครั้งหนึ่งแล้ว ในครั้งหลังจำเลยขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุว่า จำเลยมีอาชีพเลี้ยงสุกรขายและสุกรล้มป่วยเนื่องจากอากาศเปลี่ยนแปลง จำเลยต้องดูแลสุกรจึงไม่อาจมาศาลได้ กรณีมิใช่เหตุจำเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้ อีกทั้งตามคำขอเลื่อนคดีมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจศาลว่า ถ้าไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีจะทำให้เสียความยุติธรรม ศาลจึงไม่อาจให้เลื่อนคดีได้ ดังนั้น ปัญหาตามฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาอันไม่ควรได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง”
พิพากษายกฎีกาจำเลย