คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1885/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า ทรัพย์สินที่จำเลยเช่าเป็นของโจทก์และมารดาโจทก์ร่วมกัน จำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ ครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว ขอให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้คดีว่าทรัพย์สินที่เช่าเป็นของมารดาโจทก์ผู้เดียว จำเลยเป็นสามีมารดาโจทก์และเป็นบิดาเลี้ยงโจทก์ เหตุที่ต้องทำสัญญาเช่ากันเนื่องจากมารดาโจทก์ไม่ไว้ใจจำเลย กลัวจำเลยทำหนี้สินผูกพันทรัพย์สินที่เช่า มารดาโจทก์จึงให้โจทก์จำเลยทำสัญญาเช่าไว้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง มารดาโจทก์ยื่นคำร้องสอดว่าทรัพย์สินที่เช่าเป็นของผู้ร้องสอดผู้เดียวสัญญาเช่าที่โจทก์ฟ้องจำเลยนั้น โจทก์จำเลยมิได้มีเจตนามุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ต่อกันดังที่จำเลยให้การ โจทก์มีเจตนาไม่สุจริตแอบเอาสัญญาเช่าไปจากครอบครองของผู้ร้องสอดเพื่อฉ้อโกงทรัพย์ตามสัญญาเช่าเป็นของโจทก์ จึงขออนุญาตเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 ดังนี้ ข้อที่โต้เถียงกันทำให้เกิดประเด็นแห่งคดีว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์กับผู้ร้องสอดหรือว่าเป็นของผู้ร้องสอดผู้เดียวถ้าเป็นของผู้ร้องสอดผู้เดียวสัญญาเช่าก็อาจไม่มีเจตนาผูกพันกันดังที่จำเลยและผู้ร้องสอดต่อสู้ไว้ ผู้ร้องสอดจึงมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) ชอบที่จะร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือสัญญาเช่าโรงหีบและเครื่องอุปกรณ์ทำโรงหีบพร้อมทั้งที่ดินของโจทก์มีกำหนด 3 ปี ดังสำเนาสัญญาเช่าท้ายฟ้อง ทรัพย์สินดังกล่าวโจทก์กับนางเช็งมารดาโจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่า โจทก์แจ้งให้จำเลยทราบว่าถ้าจะเช่าต่อไปก็ให้มาทำสัญญาเช่ากับโจทก์ จำเลยกลับเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายและให้จำเลยส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าคืนให้โจทก์และให้ขับไล่จำเลยกับบริวารออกไปให้พ้นที่ดินของโจทก์

จำเลยให้การว่า โรงหีบเครื่องอุปกรณ์ทำโรงหีบและที่ดินตามสัญญาเช่าท้ายฟ้องเป็นของนางเช็งมารดาโจทก์ จำเลยเป็นสามีนางเช็งเป็นบิดาเลี้ยงโจทก์ ขณะทำสัญญาเช่าท้ายฟ้องจำเลยอยู่เรือนเดียวกับนางเช็ง นางเช็งไม่ไว้ใจจำเลยกลัวจำเลยผู้จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการทำโรงหีบจะนำเงินรายได้ไปใช้สอยโดยพละการ และกลัวจำเลยจะนำโรงหีบและเครื่องอุปกรณ์ไปจำนองจำนำทำหนี้ผูกพันทรัพย์สินนางเช็งจึงให้โจทก์จำเลยทำสัญญาเช่าท้ายฟ้อง โจทก์มิได้เป็นเจ้าของโรงหีบและเครื่องอุปกรณ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนางเช็ง สุขสวัสดิ์ ยื่นคำร้องสอดว่าโรงหีบเครื่องอุปกรณ์ทำโรงหีบและที่ดินเป็นของผู้ร้องสอด มิใช่เป็นของโจทก์ดังฟ้อง จำเลยเป็นสามีผู้ร้องสอดแต่มิได้จดทะเบียนสมรส ผู้ร้องสอดประสงค์จะให้จำเลยซึ่งเป็นบิดาเลี้ยงของโจทก์จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการทำโรงหีบของผู้ร้องสอดในนามของจำเลย แต่หวาดเกรงว่าจำเลยจะเอาเงินทุนและรายได้ไปใช้เสียหมด และเพื่อป้องกันมิให้จำเลยทำหนี้สินผูกพันโรงหีบและเครื่องอุปกรณ์ทำโรงหีบ ผู้ร้องสอดจึงให้โจทก์ลงชื่อเป็นผู้ให้เช่าในสัญญาเช่าโดยโจทก์จำเลยมิได้เจตนามุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ต่อกัน โจทก์มีเจตนาไม่สุจริต แอบนำเอาสัญญาเช่าไปจากครอบครองของผู้ร้องสอดเพื่อคิดฉ้อโกงทรัพย์ตามสัญญาเช่าเป็นของโจทก์ จึงขออนุญาตเข้าแทนที่จำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57

ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความจริงระหว่างผู้ร้องกับโจทก์จะเป็นอย่างไรไม่เกี่ยวกับประเด็นในคดีนี้ ยังไม่มีเหตุอันควรที่ผู้ร้องจะร้องเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นนี้ ให้ยกคำร้องสอดของนางเช็งเสีย

นางเช็งผู้ร้องสอดอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ไม่ปรากฏว่าที่ผู้ร้องสอดขอเข้าแทนที่จำเลยนั้นได้รับความยินยอมจากจำเลย พิพากษายืน

นางเช็งผู้ร้องสอดฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องอ้างว่าทรัพย์รายพิพาทเป็นของโจทก์ร่วมกับผู้ร้องสอด แต่จำเลยและผู้ร้องสอดต่างโต้เถียงว่าทรัพย์พิพาทเป็นของผู้ร้องสอดแต่ผู้เดียว จึงทำให้เกิดประเด็นแห่งคดีว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์พิพาทเป็นของโจทก์กับผู้ร้องสอดหรือว่าเป็นของผู้ร้องสอดผู้เดียว ถ้าเป็นของผู้ร้องสอดผู้เดียว สัญญาเช่าก็อาจไม่มีเจตนาผูกพันกันดังที่จำเลยและผู้ร้องสอดต่อสู้ไว้ จึงเห็นได้ว่าผู้ร้องสอดมีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลแห่งคดีอยู่แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(2) หาใช่ว่าข้อโต้เถียงระหว่างโจทก์กับผู้ร้องสอดไม่มีประเด็นเกี่ยวกับคดีนี้ดังที่ศาลชั้นต้นกล่าวมานั้นไม่

เมื่อได้ตรวจดูคำให้การของจำเลยและคำร้องของผู้ร้องสอดแล้วก็เห็นว่าต่างอ้างข้อต่อสู้คดีกับโจทก์ผสมกลมกลืนกันทุกอย่างสรุปว่า ทรัพย์รายพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ แต่เป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายผู้ร้องสอดแต่ลำพัง และทนายผู้ยื่นคำร้องสอดก็คือทนายของจำเลยนั่นเอง ทั้งฝ่ายจำเลยรับสำเนาคำร้องสอดมาแล้ว นอกจากจะไม่คัดค้านอย่างใดแล้วทนายคนเดียวกันซึ่งเป็นตัวแทนจำเลยและตัวแทนผู้ร้องสอดย่อมรู้เรื่องดีอยู่แล้ว จึงต้องฟังว่าจำเลยได้ยินยอมให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้แล้ว ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าผู้ร้องสอดยังไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฉะนั้นจะถือว่าผู้ร้องสอดขอเข้ามาเป็นจำเลยแทนที่จำเลยดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ หรือจะถือว่าขอเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ก็ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีที่จะต้องคำนึงถึงในชั้นนี้ ฯลฯ พิพากษาให้ยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ โดยอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีได้

Share