คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1812/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(1) เมื่อผู้ทำพินัยกรรมตาย ที่ดินซึ่งระบุไว้ในพินัยกรรมย่อมตกได้แก่ผู้รับพินัยกรรมทันทีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1673 โดยมิพักต้องทำพิธีรับมรดก และหรือเข้าครอบครองที่ดินนั้น โดยเหตุนี้ เจ้าของที่ดินเช่นว่านี้ย่อมมีอำนาจฟ้องให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์และขับไล่ผู้อาศัย (2) ใบนำเพื่อจะไปเสียเงินบำรุงท้องที่นั้น ไม่ใช่เอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดิน (3) เนื่องจากคำให้การต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นเหตุให้โจทก์ขอให้ศาลเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดี อันเป็นอำนาจที่โจทก์และศาลจะกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 ดังนั้นฎีกาจำเลยที่ว่าก่อนฟ้องโจทก์มิได้บอกกล่าวจำเลยร่วมและโจทก์มิได้โต้แย้งสิทธิของจำเลย จึงฟังไม่ขึ้น

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ขอให้ศาลแสดงว่า ที่ดินที่จำเลยปลูกเรือนเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยรื้อเรือนออกไปและห้ามเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การว่า ที่ดินและโรงเรือนที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยอาศัยปลูกอยู่นั้นเป็นของนางเจียมมารดาจำเลย จำเลยอาศัยนางเจียมอยู่โจทก์ชอบที่จะฟ้องนางเจียม โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลย

ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้เรียกนางเจียมมารดาจำเลยที่ 1เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลอนุญาต

นางเจียมจำเลยร่วมให้การว่า ถ้านายคงทำพินัยกรรมยกที่ดินให้โจทก์พินัยกรรมนั้นก็ไม่มีผล เพราะที่ดินเป็นของจำเลยร่วม ๆ ไม่เคยอาศัยที่ดินนายคง นางเพิ่มปลูกเรือนที่ที่ดินนี้นางเวียงยกให้จำเลยร่วม ๆ ได้ครอบครองเป็นเจ้าของโดยสงบมาจนบัดนี้โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้รื้อเรือน

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนเรือนออกไป ห้ามเกี่ยวข้องฯ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาแล้ววินิจฉัยดังนี้.-

(1) ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ยังมิได้ทำการรับมรดกตามพินัยกรรม และมิได้เข้าครอบครองที่พิพาท นั้นเห็นว่า ตามทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาทและที่ภายในเส้นสีดำตามแผนที่วิวาทเดิมเป็นที่ของนางเวียง แล้วตกได้แก่นางเพิ่มและนายคงบุตรสาวและบุตรเขย ต่อมานางเพิ่มตาย นายคงได้ทำพินัยกรรมยกที่ดินรายนี้ให้โจทก์ นายคงตายที่ดินจึงตกได้แก่โจทก์ตามพินัยกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1673 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ เพราะที่ดินเป็นของโจทก์แล้วตามพินัยกรรมโจทก์หาจำต้องทำการรับมรดกและเข้าครอบครองที่พิพาทแล้วจึงจะมีอำนาจฟ้องดังที่จำเลยฎีกาไม่

(2) จำเลยฎีกาว่าประเด็นเรื่องอาศัย พยานหลักฐานโจทก์ไม่น่ารับฟังนั้น เห็นว่าโจทก์มีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมีน้ำหนักน่าเชื่อ ส่วนจำเลยมีแต่นางเจียมและเอกสาร ล.4 ก็เป็นแต่เพียงใบนำเพื่อจะไปเสียเงินบำรุงท้องที่เท่านั้น หาใช่เป็นเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินดังที่จำเลยฎีกาไม่ พยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักที่จะให้รับฟังว่าเป็นความจริงได้

(3) จำเลยฎีกาว่า ก่อนฟ้องโจทก์ไม่ได้บอกกล่าวให้จำเลยร่วมออกไปจากที่พิพาท และโจทก์ไม่เคยโต้แย้งสิทธิของจำเลยร่วม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยร่วม นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเหตุที่โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้เรียกนางเจียมมาเป็นจำเลยร่วมนั้น เป็นเพราะนายประวิทย์จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินและโรงเรือนที่โจทก์ฟ้องนั้นเป็นของนางเจียมมารดานายประวิทย์ นายประวิทย์เพียงแต่อาศัยนางเจียมมารดาอยู่ ศาลอนุญาต ทั้งนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 ซึ่งให้อำนาจโจทก์และศาลกระทำได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาจำเลย

Share