คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นกรรมการอำนวยการบริษัท ท.และบริษัททปค.โจทก์ให้ ส.ลงชื่อเป็นผู้ซื้อฝากทรัพย์รายพิพาทจากจำเลย แต่ความจริงปรากฏว่าบริษัท ทปค.เป็นผู้ซื้อฝากที่แท้จริง จำเลยมิได้ไถ่ทรัพย์คืนจนพ้นกำหนด ส.ถึงแก่กรรม ทายาทของส. โอนทรัพย์รายพิพาทให้แก่โจทก์ เมื่อตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อ คือ บริษัท ทปค. ยังมิได้แสดงตนเข้ารับเอาสัญญาที่โจทก์ได้ทรัพย์รายพิพาท โจทก์ก็คงมีสิทธิตามสัญญานั้นอยู่ มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและให้จำเลยส่งทรัพย์รายพิพาทให้ เมื่อโจทก์ฟ้องแล้วบริษัททปค. ร้องสอดขอเข้ามาในคดีเข้าแทนที่โจทก์รับเอาสัญญาจากโจทก์ โจทก์ก็ยินยอม ดังนี้ บริษัท ทปค.ก็ได้อำนาจจากโจทก์โดยตัวแทนยอมคืนทรัพย์สินให้ตัวการ จำเลยจะคัดค้านว่าโจทก์กับบริษัท ทปค.ไม่มีอำนาจฟ้องย่อมฟังไม่ได้
และเมื่อพ้นกำหนดการไถ่แล้ว ทรัพย์รายพิพาทไม่ใช่เป็นของจำเลยแล้วจำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่และใช้ทรัพย์นี้ได้ต่อไป ดังนั้น โจทก์จะเป็นผู้รับซื้อฝากเองหรือผู้ใดจะอ้างว่าเป็นตัวการเข้ารับเอาสัญญาที่โจทก์รับซื้อฝากแทน ผลก็เท่ากัน ไม่ทำให้เสื่อมสิทธิของจำเลยในการขายฝากนี้แต่อย่างใด เพราะเมื่อจำเลยไม่มีสิทธิในทรัพย์รายพิพาทแล้วทรัพย์นั้นจะเป็นของบริษัท ทปค.ผู้ร้องสอดดังที่ผู้ร้องสอดกล่าวอ้าง หรือว่าเป็นของบริษัท ท.โดยส.รับซื้อแทนดังที่จำเลยอ้าง ก็เป็นเรื่องของโจทก์ที่จะยอมรับตามความเป็นจริง จำเลยไม่อาจอ้างเรื่องสิทธิฟ้องร้องขึ้นต่อสู้ว่าทรัพย์นั้นเป็นของบริษัทท.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขายฝากที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างอันมีโรงเลื่อยจักรแก่นายสวัสดิ์ ต่อมานายสวัสดิ์ตาย และจำเลยมิได้ไถ่จากทายาทของนายสวัสดิ์จนพ้นกำหนดไถ่แล้ว ทรัพย์สินที่ขายฝากจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของภรรยาและบุตรของนายสวัสดิ์แล้วภรรยาและบุตรของนายสวัสดิ์ได้โอนขายให้แก่โจทก์ โจทก์เรียกให้จำเลยมาทำสัญญาเช่า จำเลยก็ไม่มาทำ โจทก์แจ้งให้ออกไปและงดใช้เครื่องจักร จำเลยก็เพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้พิพากษาขับไล่ และให้มอบเครื่องจักรแก่โจทก์ กับใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นหนี้บริษัทไทยประสิทธิ จำกัด อยู่หนึ่งล้านสามแสนกว่าบาท โจทก์ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทกับจำเลยได้ทำสัญญาตกลงกันว่าหนี้จำนวนนี้จำเลยได้เอาเงินซึ่งจำเลยจำนองที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวนั้นไว้แก่บริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด ใช้คืนเสียห้าแสนกว่าบาทคงเป็นหนี้อยู่อีกแปดแสนกว่าบาท ในการทำสัญญาจำนองโจทก์มอบอำนาจให้นายสวัสดิ์ลงชื่อในสัญญาจำนองแทนบริษัทไทยประสิทธิ จำกัดต่อมาบริษัทไทยประสิทธิ จำกัด ฟ้องจำเลย แล้วได้ตกลงระงับหนี้กันโดยตกลงว่าจำเลยต้องขายฝากที่ดินพร้อมทั้งโรงเลื่อยนั้นเป็นประกัน โดยโจทก์ในฐานะกรรมการผู้จัดการกับนายสนิทกรรมการของบริษัทไทยประสิทธิ จำกัด ให้นายสวัสดิ์รับซื้อฝากแทนบริษัทไทยประสิทธิ จำกัด จำเลยจึงทำสัญญาขายฝากตามสำเนาท้ายฟ้องโดยเป็นที่รู้และเข้าใจกันว่านายสวัสดิ์เป็นผู้แทนของบริษัทไทยประสิทธิ จำกัด จำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญาขายฝากเลยนายสวัสดิ์กับจำเลยจึงไม่มีข้อผูกพันกันแต่อย่างใด ทายาทของนายสวัสดิ์หรือโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาขายฝากการโอนกรรมสิทธิ์ตามฟ้องจึงเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต โจทก์จะอ้างกรรมสิทธิ์มาฟ้องคดีนี้หาได้ไม่ และหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินดังกล่าวก็เป็นโมฆะ เพราะบริษัทไทยประสิทธิ จำกัด จะซื้อฝากที่ดินไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตามกฎหมายและผิดวัตถุประสงค์ ฯลฯ

บริษัทไทยประสิทธิประกันภัยและคลังสินค้าจำกัดร้องสอดเข้ามาขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์เดิม โดยอ้างว่าผู้ร้องสอดกับบริษัทไทยประสิทธิ จำกัด เป็นคนละบริษัท แต่มีกรรมการอำนายการคนเดียวกัน คือ โจทก์ในคดีนี้ ผู้ร้องสอดมีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี โดยที่โจทก์ก็ดี นายสวัสดิ์ก็ดี เป็นตัวแทนของผู้ร้องสอดทำการรับซื้อฝากที่พิพาทนี้โดยไม่เปิดเผยตัวการ ผู้ร้องสอดประสงค์จะเปิดเผยชื่อรับเอาผลแห่งการกระทำของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806 บริษัทไทยประสิทธิ จำกัดหาได้เกี่ยวข้องรับซื้อฝากที่พิพาทนี้ไม่ โดยเหตุว่าเดิมจำเลยเป็นหนี้บริษัทไทยประสิทธิ จำกัด แล้วต่อมาจำเลยรับสภาพหนี้และหักหนี้กับบริษัทนั้น แต่ไม่มีเงินให้กักหนี้ จึงเอาที่พิพาทจำนองโจทก์ โจทก์รับจำนองแทนผู้ร้องสอด แต่โจทก์ให้นายสวัสดิ์ลงชื่อรับจำนองแทน จำเลยได้เอาเงินจำนองบางส่วนชำระหนี้บริษัทไทยประสิทธิ จำกัด และยังคงเป็นหนี้อยู่อีกจำนวนหนึ่ง บริษัทนั้นจึงฟ้องล้มละลาย จำเลยจึงยอมทำสัญญาขายฝากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ ในการทำสัญญาขายฝากนี้นายสวัสดิ์ลงชื่อรับซื้อฝากแทนโจทก์โดยโจทก์และนายสวัสดิ์เป็นตัวแทนของผู้ร้องสอดโดยไม่เปิดเผยชื่อ หลังจากนั้นนายสวัสดิ์ก็ตาย จำเลยก็ไม่ไถ่การขายฝาก ทายาทของนายสวัสดิ์รู้ว่านายสวัสดิ์รับซื้อฝากแทนผู้ร้องสอด จึงโอนขายที่ดินให้โจทก์ซึ่งรับซื้อแทนผู้ร้องสอด ขอให้ศาลพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์แก่ผู้ร้องสอด

โจทก์เดิมแถลงว่าเป็นความจริงตามคำร้องสอด ยินยอมให้เข้ามาแทนที่โจทก์ ส่วนจำเลยคัดค้าน แต่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมด้วย โดยเข้าแทนที่โจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวาร ให้จำเลยส่งมอบเครื่องจักรและให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท ตั้งแต่ 18 สิงหาคม 2501

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหาย ให้จำเลยใช้เดือนละ3,000 บาท นับแต่วันฟ้อง

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยได้ทำสัญญาจำนองและขายฝากที่ดินและโรงเลื่อยจักรรายพิพาทลบล้างหนี้สินกับบริษัทไทยประสิทธิ จำกัด และบริษัทไทยประสิทธิประกันภัย จำกัด จนกระทั่งพ้นกำหนดการไถ่ทรัพย์รายพิพาทไม่ใช่เป็นของจำเลยแล้ว จำเลยไม่มีสิทธิจะอยู่และใช้ทรัพย์รายนี้ได้ต่อไป ดังนั้น โจทก์จะเป็นผู้รับซื้อฝากเองหรือผู้ใดจะอ้างว่าเป็นตัวการเข้ารับเอาสัญญาที่โจทก์รับซื้อฝากแทนผลก็เท่ากัน ไม่ทำให้เสื่อมเสียสิทธิของจำเลยในการขายฝากนี้อย่างใด ทรัพย์นั้นจะเป็นของผู้ร้องสอดหรือของบริษัทไทยประสิทธิจำกัด ก็เป็นเรื่องของโจทก์ที่จะยอมรับตามความเป็นจริง และตามพยานหลักฐาน ศาลฎีกาก็เห็นพ้องกับศาลล่างที่ฟังว่าผู้ร้องสอดเป็นผู้รับซื้อฝาก

ข้อที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อจะเข้าแทนที่โจทก์ฟ้องก็ไม่สมบูรณ์นั้น เห็นว่า เมื่อตัวการที่ไม่เปิดเผยชื่อยังมิได้แสดงตนเข้ารับเอาสัญญาที่โจทก์ได้ทรัพย์สินพิพาท โจทก์ก็คงมีสิทธิตามสัญญานั้นอยู่และมีอำนาจฟ้องจำเลยได้เมื่อตัวการคือผู้ร้องสอดแสดงตนเข้ามารับเอาสัญญาจากโจทก์โจทก์ยินยอม ผู้ร้องสอดก็ได้อำนาจจากโจทก์โดยตัวแทนยอมคืนทรัพย์สินให้ตัวการ จำเลยจะคัดค้านไม่ให้มีอำนาจฟ้องทั้งสองคนไม่ได้

เมื่อวินิจฉัยข้ออื่นด้วยแล้ว พิพากษาแก้เฉพาะค่าเสียหายให้จำเลยใช้เดือนละ 1,500 บาท

Share