คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1728/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

(1)การที่ผู้ใหญ่บ้านร่วมกับตำรวจไปทำการจับกุมภริยาจำเลยและจำเลย จำเลยกล่าวว่า “เจ้าพนักงานจับกุมไม่เสียใจ ทำไมต้องเอาอ้ายผู้ใหญ่บ้านหัวควยยังงี้มาด้วยละ กูไม่ไว้ใจประเดี๋ยวจะลักของกู มึงออกจากบ้านกูไปเดี๋ยวนี้ มึงล่อลวงประชาชน หากินเล็กหากินน้อยอย่างของกูมึงไม่ได้กินหรอก กูไม่ไว้ใจมึง เดี๋ยวมึงจะเอาของผิดกฎหมายมาใส่ให้กู”นั้น เป็นการดูหมิ่นผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ (2)แม้เพียงถ้อยคำที่จำเลยรับว่าได้กล่าวว่า “อั๊วไม่ไว้ใจลื้อเดี๋ยวลื้อจะเอาของผิดกฎหมายมาใส่อั๊ว” ก็เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่อยู่แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นนายสถิตย์ เจริญพร ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกระทำการตามหน้าที่ว่า “เจ้าพนักงานจับกุมไม่เสียใจ ทำไมต้องเอาอ้ายผู้ใหญ่หัวควยยังงี้มาด้วยละ กูไม่ไว้ใจประเดี๋ยวจะลักของกู มึงออกจากบ้านกูไปเดี๋ยวนี้ มึงล่อลวงประชาชนหากินเล็ก หากินน้อย อย่างของกูมึงไม่ได้กินหรอก กูไม่ไว้ใจมึง เดี๋ยวมึงจะเอาของผิดกฎหมายมาใส่ให้กู” ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136

จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้กล่าววาจาดูหมิ่นเจ้าพนักงานดังฟ้องเพียงแต่กล่าวว่าอั๊วไม่ไว้ใจลื้อ เดี๋ยวลื้อจะเอาของผิดกฎหมายมาใส่อั๊ว เพราะไม่ถูกกันมานานแล้ว

ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยดูหมิ่นผู้เสียหายจริงดังฟ้อง พิพากษาว่าผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 ปรับ 200 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานโจทก์แตกต่างกัน ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยได้กล่าวคำดูหมิ่นดังบรรยายในฟ้อง จึงพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกาว่า แม้พยานจะให้การแตกต่าง ก็เป็นเพียงพลความคดีมีเหตุผลน่าเชื่อว่าจำเลยได้กล่าวถ้อยคำดังโจทก์ฟ้อง

ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้ จำเลยรับอยู่แล้วว่าได้กล่าวพาดพิงถึงผู้เสียหายจริงคำกล่าวที่พาดพิงถึงผู้เสียหายเท่าที่จำเลยรับก็เป็นส่วนหนึ่งของถ้อยคำที่กล่าวหาว่าดูหมิ่นตามฟ้องเพียงแต่ถ้อยคำที่จำเลยรับว่ากล่าวนั้นมีว่า “อั๊วไม่ไว้ใจลื้อ เดี๋ยวลื้อจะเอาของผิดกฎหมายมาใส่อั๊ว” ก็เป็นดูหมิ่นเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่อยู่แล้ว เพราะผู้เสียหายเป็นผู้ใหญ่บ้านในท้องที่เกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจเชิญมาให้รู้เห็นการจับกุมซึ่งจะบันทึกการจับกุมไว้ การที่จำเลยกล่าวเช่นนั้น เป็นการพูดให้เขาเสียหาย โดยกล่าวให้ร้ายว่าจะกระทำการที่ไม่ชอบ แม้จะไม่เชื่อว่าจำเลยกล่าวถ้อยคำมากกว่านี้ ก็ไม่เป็นเหตุยกฟ้องโจทก์เสียได้ การที่โจทก์นำสืบต่อไปเพื่อให้เห็นว่าจำเลยกล่าวดูหมิ่นรุนแรงยิ่งกว่าที่จำเลยรับ ข้อวินิจฉัยจึงอยู่ที่ว่าถ้อยคำที่จำเลยกล่าวมีข้อความว่าอย่างไรบ้างแม้พยานโจทก์จะให้การผิดเพี้ยนกันในเหตุอื่นเป็นต้นว่า จำเลยยืนด่าหรือเดินด่า จำเลยด่าซ้ำหรือไม่ซ้ำมีคนห้ามจึงหยุดหรือหยุดเองเหล่านี้ ไม่เป็นเหตุที่จะไม่เชื่อว่าจำเลยได้กล่าวถึงผู้เสียหายเพราะจำเลยรับอยู่แล้วว่ากล่าวจริง ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าจำเลยกล่าวดูหมิ่นผู้เสียหายต่อหน้าเจ้าพนักงานตำรวจที่ไปจับ ตำรวจผู้จับถึง 4 คนก็มาเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าจำเลยได้กล่าวถ้อยคำว่าผู้เสียหายจริงดังฟ้อง ศาลฎีกาไม่เห็นเหตุที่จะไม่เชื่อเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งได้ยินจำเลยกล่าวต่อหน้าตน ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวดังฟ้องล้วนเป็นข้อความดูหมิ่นทั้งสิ้น

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share