คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1106/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีอาญานั้น พยานหลักฐานที่จะฟังลงโทษจำเลยได้ต้องเป็นพยานหลักฐานโจทก์ เมื่อจะเอาจำเลยเป็นผู้ต้องหาก็ต้องสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 การที่พนักงานสอบสวนสอบจำเลยเป็นพยานในชั้นแรก จึงเป็นพยานที่มิชอบ จะนำคำให้การของจำเลยที่ให้การเป็นพยานในชั้นสอบสวนนั้นมาอ้างพิสูจน์ว่าจำเลยมีความผิดไม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้ง 4 คนเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ระหว่างวันที่ 4 กรกฎาคม 2501 ถึงวันที่ 2 สิงหาคม 2501 เวลากลางวันทุกวันจำเลยที่ 1, 2, 3 ร่วมกันโดยเจตนาทุจริตทำให้สูญหายไปเสียซึ่งเอกสารต้นฉบับทะเบียนบ้านเลขที่ 69/6 ซึ่งมีชื่อนางหมุยเตียงแซ่โกว เป็นหัวหน้าครอบครัว แล้วร่วมกันทำทะเบียนบ้านปลอมขึ้นใหม่โดยเพิ่มเติมชื่อนายซื่อฮี แซ่ตั้ง ลงไปด้วยเพื่อประสงค์จะใช้ทะเบียนบ้านที่จำเลยทำปลอมให้เป็นต้นฉบับที่แท้จริง และมุ่งประสงค์จะให้เป็นหลักฐานพิสูจน์ว่า นายซือฮี แซ่ตั้ง เป็นผู้อยู่ในบ้านเลขที่ 69/6 ซึ่งความจริงนายซือฮี เป็นคนต่างด้าวเพิ่งเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ทำให้เสียหายแก่รัฐบาลไทยและเทศบาลนครกรุงเทพ

เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2501 เวลากลางวัน จำเลยที่ 4 โดยการร่วมมือกับจำเลยที่ 1, 2, 3 มีเจตนาทุจริตทำบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่นายซือฮีไปทำให้เกิดการเสียหายแก่รัฐบาลและนายอำเภอพระโขนง

ตามวันเวลาดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้ง 4 ร่วมมือกันกระทำการดังกล่าวโดยเจตนาจะช่วยเหลือนายซือฮีคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรไทยชั่วคราวได้อยู่อาศัยในประเทศไทยได้ตลอดไปในฐานะเป็นคนไทย เหตุเกิดที่ตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง จังหวัดพระนครขอให้ลงโทษจำเลย

จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธ

ศาลอาญาเห็นว่าโจทก์นำสืบไม่ได้ความตามฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า หลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 และ 4กระทำผิดตามฟ้อง แต่สำหรับจำเลยที่ 2 เป็นผู้เขียนเอกสารหมาย จ.30(ต้นฉบับทะเบียนบ้านที่มีชื่อนายซือฮี) จึงไม่มีทางรอดพ้นความผิดส่วนจำเลยที่ 3 มีลายเซ็นชื่อปรากฏในช่องนายทะเบียนทั้งในเอกสารจ.30 และ จ.1 (ทะเบียนบ้านฉบับนางหมุยเตียงยึดถือ) เรื่องลายเซ็นนี้แม้จำเลยที่ 3 จะไม่ได้รับว่าลายเซ็นนั้นเป็นของตน แต่จำเลยที่ 3 เคยให้ถ้อยคำต่อพนักงานสอบสวนยอมรับว่าได้ลงนามไว้จริง ขณะมีการแจ้งย้ายคนออกไปจากบ้านเลขที่ 69/6 ก็เป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะตรวจสอบรายการในเอกสาร จ.1 กับ จ.30 ตรงกันหรือไม่ แต่จำเลยก็ไม่ตรวจสอบโดยถี่ถ้วนเป็นการพิรุธอยู่ หากจำเลยไม่เพิกเฉยเสียความก็จะปรากฏขึ้นแล้ว จำเลยที่ 3 จึงร่วมสมคบในความผิดรายนี้ด้วยโดยไม่สงสัย พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำคุกจำเลยที่ 2, 3

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า สำหรับจำเลยที่ 3 นี้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีพยานยืนยันอย่างใดว่ากระทำผิดดังฟ้อง เดิมพนักงานสอบสวนมิได้ดำเนินคดีกับจำเลยที่ 3 เพียงแต่สอบสวนในฐานะเป็นพยานโจทก์แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำผิดด้วย โดยหยิบยกเอาคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3 ซึ่งให้การในฐานะพยานโจทก์มาวินิจฉัยลงโทษจำเลย ข้อนี้ศาลฎีกาไม่เห็นพ้อง ในคดีอาญานั้นพยานหลักฐานที่จะฟังลงโทษจำเลยได้ต้องเป็นพยานหลักฐานโจทก์ทั้งมีกฎหมายห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเห็นพยาน เมื่อจะเอาจำเลยที่ 3เป็นผู้ต้องหาก็ต้องสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 การที่พนักงานสอบสวนอ้างจำเลยที่ 3เป็นพยานในชั้นแรก จึงเป็นพยานที่มิชอบ อ้างเป็นพยานพิสูจน์ว่าจำเลยที่ 3 มีผิดไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ศาลอุทธรณ์ฟังคำให้การจำเลยที่ 3 ที่ให้การเป็นพยานโจทก์ในชั้นสอบสวนไม่ได้เหตุที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกเอาคำให้การนี้ขึ้นวินิจฉัยเพราะจำเลยที่ 3 ให้การว่าได้ลงชื่อไว้ในเอกสาร จ.1 และจ.30 จริง แต่เมื่อจำเลยที่ 3 เบิกความแก้คดี จำเลยไม่รับว่าลายมือชื่อช่องนายทะเบียนเป็นลายมือของจำเลยโจทก์ก็ไม่มีพยานพิสูจน์ในข้อนี้จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้เกี่ยวข้องในการทำเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.30

ที่ศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 3 เพิกเฉยไม่รายงานเรื่องทะเบียนบ้านไม่ตรงกันเป็นข้อแสดงว่าร่วมมือด้วยนั้น ยังไม่หนักแน่นพอ โจทก์ไม่มีพยานแสดงว่าจำเลยกระทำผิดอย่างไรข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำผิดด้วย

จึงพิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 ด้วย

Share