แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นส่วนคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษคดีนี้ต่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยมีความผิดฐานมีและพาอาวุธปืน ต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ทั้งสองคดีเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระและมีเจตนาในการกระทำผิดแยกต่างหาก โดยไม่มีความเกี่ยวพันกัน ผู้เสียหายและพยานหลักฐานเป็นคนละชุด ลักษณะคดีและความผิดคนละประเภทไม่อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือพิจารณาพิพากษารวมกันไปได้ จึงไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91(3) ศาลย่อมนับโทษต่อกันได้
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากเดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1485/2537 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดนนทบุรี โจทก์ นายสมชายหรือแดง ประเสริฐ จำเลย โดยเรียกจำเลยในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 เรียกจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1485/2537ว่า จำเลยที่ 2 แต่คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีนี้โดยศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต เมื่อลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิตแล้วก็ไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ได้อีก จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพโดยจำนนต่อพยานหลักฐานจึงไม่ลดโทษให้ แต่ให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1372/2536 ของศาลชั้นต้นริบของกลาง คำขออื่นให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืน คดีถึงที่สุด
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า คดีนี้กับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1372/2536ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดต่อเนื่องกันมิได้ขาดตอน แม้โจทก์จะแยกฟ้อง ศาลก็สามารถพิจารณาพิพากษารวมกันไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 24, 25 และศาลสามารถลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91(3) ขอให้ศาลแก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดทั้งสองสำนวนให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า หมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดออกโดยถูกต้องตามคำพิพากษาแล้ว ไม่มีเหตุที่จะแก้ไขให้ได้ ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่าจะนับโทษจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1372/2536 ของศาลชั้นต้นได้หรือไม่เห็นว่า คดีนี้ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นส่วนคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษคดีนี้ต่อได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยมีความผิดฐานมีและพาอาวุธปืนต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ทั้งสองคดีเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระและมีเจตนาในการกระทำผิดแยกต่างหาก โดยไม่มีความเกี่ยวพันกัน ผู้เสียหายและพยานหลักฐานเป็นคนละชุด ลักษณะคดีและความผิดคนละประเภททั้งสองคดีไม่อาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันหรือพิจารณาพิพากษารวมกันไปได้กรณีดังกล่าวจึงไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3)ดังนั้น ศาลย่อมนับโทษคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1372/2536 ของศาลชั้นต้นได้ ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน