คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8091/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นภริยาของจำเลยร่วมกับจำเลยซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางมา ดังนั้น การที่ผู้ร้องขอให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางให้แก่ผู้ร้องทั้งคันนั้น ไม่อาจคืนได้เพราะผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์บรรทุกของกลางอยู่เพียงกึ่งเดียว เมื่อจำเลยซึ่งมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วยอีกกึ่งหนึ่งนำรถยนต์บรรทุกของกลางไปใช้กระทำความผิดแต่โดยลำพัง รถยนต์บรรทุกของกลางจึงเป็นของต้องริบเพียงกึ่งหนึ่งอีกกึ่งหนึ่งต้องตกได้แก่ผู้ร้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. 2535 มาตรา 61, 73 และริบรถยนต์บรรทุกของกลางหมายเลขทะเบียน 82 – 1122 ชลบุรี

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในรถยนต์บรรทุกของกลางและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยขอให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องไม่ใช่ผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในรถยนต์บรรทุกของกลางผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า รถยนต์บรรทุกของกลางหมายเลขทะเบียน 82-1122 ชลบุรี ที่ศาลสั่งริบเพราะบรรทุกน้ำหนักเกิน มีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของในสำเนาคู่มือการจดทะเบียนรถยนต์ ผู้ร้องเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ในรถยนต์บรรทุกของกลางดังกล่าวกึ่งหนึ่งมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า จะต้องคืนรถยนต์บรรทุกของกลางให้แก่ผู้ร้องหรือไม่ ที่ผู้ร้องอ้างมาในฎีกาว่าจำเลยนำรถยนต์บรรทุกของกลางไปกระทำความผิดโดยที่ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยนั้น ปรากฏว่าในชั้นไต่สวน ผู้ร้องอ้างตนเองและจำเลยเป็นพยานรวม 2 ปาก เบิกความยืนยันตรงกันว่าผู้ร้องกับจำเลยร่วมกันซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางมาตั้งแต่วันที่ 7 มีนาคม 2539 เพื่อให้จำเลยใช้รับจ้างบรรทุกดินโดยจำเลยเป็นคนขับ ผู้ร้องเพียงแต่ทราบว่าจำเลยจะไปบรรทุกดิน ณ ที่ใดแต่ไม่เคยไปติดต่อรับงานกับจำเลย เงินที่หามาได้จำเลยจะนำมามอบให้แก่ผู้ร้องเพื่อใช้ในครอบครัว เห็นว่า ตามคำยืนยันของผู้ร้อง วัตถุประสงค์ในการซื้อรถยนต์บรรทุกของกลางมาก็เพื่อให้จำเลยใช้ขับรับจ้างบรรทุกดินซึ่งเป็นอาชีพที่สุจริตไม่ผิดกฎหมายโดยจำเลยรับผิดชอบงานด้วยตนเอง เมื่อจำเลยนำรถออกไป ผู้ร้องก็ทำงานรับจ้างทำไร่อยู่แถวละแวกบ้านมิได้ไปด้วย ที่เป็นความผิดก็เพราะจำเลยนำรถไปบรรทุกดินมากจนน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดให้บรรทุกได้ ซึ่งน้ำหนักดินที่บรรทุกใส่รถจะมากน้อยเพียงใด เกินกำหนดหรือไม่เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของจำเลยผู้เป็นคนขับและรับผิดชอบรถอยู่ในขณะเกิดเหตุนั้นแต่เพียงผู้เดียว ผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาอยู่ที่บ้านน่าจะไม่มีโอกาสได้ล่วงรู้และจำเลยมิได้กระทำความผิดบรรทุกน้ำหนักเกินอยู่เป็นอาจิณเพราะตัวจำเลยเบิกความยืนยันว่า เคยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหาบรรทุกน้ำหนักเกินเพียงครั้งเดียว และเหตุเกิดขึ้นมานานมากแล้วจะฟังว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจด้วยกับจำเลยว่าในวันเกิดเหตุนั้น จำเลยจะนำรถยนต์ของกลางไปบรรทุกดินมากผิดปกติจนน้ำหนักเกินก็ยังฟังไม่ได้ จึงน่าเชื่อตามที่ผู้ร้องนำสืบว่าผู้ร้องซึ่งอยู่บ้านมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย แต่ที่ผู้ร้องขอให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางให้แก่ผู้ร้องทั้งคัน เห็นว่า ไม่อาจคืนได้เพราะผู้ร้องมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์บรรทุกของกลางอยู่เพียงกึ่งเดียว เมื่อจำเลยซึ่งมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ด้วยอีกกึ่งหนึ่งนำรถยนต์บรรทุกของกลางไปใช้กระทำความผิดแต่โดยลำพัง รถยนต์บรรทุกของกลางจึงเป็นของต้องริบเพียงกึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งต้องตกได้แก่ผู้ร้อง ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้นบางส่วน”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้คืนรถยนต์บรรทุกของกลางแก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share