คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1610/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประเด็นที่ว่า โจทก์ไม่เป็นนิติบุคคลและใบมอบอำนาจไม่ปิดอากรแสตมป์ จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อโต้เถียงคัดค้านในชั้นศาลอุทธรณ์ เพิ่งมายกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกา เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 และในชั้นอุทธรณ์ จำเลยก็ได้กล่าวรับรองว่าโจทก์เป็นนิติบุคคล จำเลยเถียงข้อนี้ไม่ขึ้น
สำเนาใบมอบอำนาจให้ดำเนินคดีมิใช่ต้นฉบับหรือคู่ฉบับหรือคู่ฉีก ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร
เมื่อผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์คนเดิมพ้นหน้าที่ไป ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์อีกคนหนึ่งดำเนินกิจการแทนโจทก์ ทนายความผู้รับแต่งตั้งจากผู้รับมอบอำนาจคนเดิมทำคำร้องขอแก้ฟ้อง โดยขอเปลี่ยนตัวผู้รับมอบอำนาจเสียใหม่ถือว่าโจทก์ได้ดำเนินการตั้งแต่งทนายความฟ้องคดีโดยถูกต้องสมบูรณ์มาแต่แรก ทนายความของโจทก์จึงมีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ตลอดไปจนกว่าจะถูกสั่งถอน การพ้นหน้าที่ของผู้รับมอบอำนาจคนเดิมไม่ทำให้ทนายความหมดอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ การแก้ฟ้องของโจทก์มีผลเพียงเพื่อให้ทราบว่าบัดนี้โจทก์ได้เปลี่ยนตัวผู้รับมอบอำนาจดำเนินกิจการหรือดำเนินคดีในนามของโจทก์ในกาลต่อไปเท่านั้น การที่ผู้รับมอบอำนาจคนใหม่เข้าดำเนินกระบวนพิจารณาคดีซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในศาลในนามของบริษัทโจทก์สืบแทนต่อไปมิใช่เป็นการเริ่มต้นฟ้องคดีใหม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัดจดทะเบียนก่อตั้งและมีสำนักงานใหญ่อยู่ในเมืองฮ่องกง มีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายโจทก์มีสำนักงานสาขาประกอบกิจการค้าในประเทศไทยโดยมีนายไมเคิลอิงกลิส มันโร สมิธ ได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์ มีอำนาจยื่นฟ้องและดำเนินคดีในนามโจทก์ได้ จำเลยได้ซื้อสิ่งของต่าง ๆ ไปจากโจทก์เป็นเงิน 38,124 บาท ครบกำหนดจำเลยไม่ชำระเงิน ขอศาลบังคับจำเลยใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมด้วยดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 44,033.22 บาท และให้เสียดอกเบี้ยในเงิน 38,124 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ

จำเลยให้การว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายของเมืองฮ่องกงหรือไม่ และหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องจำเลยไม่รับรอง นายไมเกิล อิงกลิส มันโร สมิธ ไม่มีอำนาจนำคดีมาเสนอต่อศาล สิ่งของตามที่โจทก์ฟ้องรวมราคา 38,124 บาท จำเลยเช่าซื้อมานายไมเกิลเป็นส่วนตัวขอให้ยกฟ้อง

ก่อนวันชี้สองสถาน โจทก์ยื่นคำร้องว่า บริษัทโจทก์ได้เปลี่ยนแปลงผู้รับมอบอำนาจใหม่ โดยนายไมเกิลได้พ้นจากหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์สาขาประเทศไทยแล้ว และบริษัทได้แต่งตั้งให้นายดั๊คคลาส จอนห์ มาสซี่ เป็นผู้รับมอบอำนาจดำเนินกิจการของบริษัทโจทก์ในประเทศไทยต่อไป จึงขอแก้ฟ้องเป็นว่านายดั๊กคลาสเป็นผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินกิจการค้า และมีอำนาจฟ้องดำเนินคดีในนามของบริษัทโจทก์

จำเลยจึงยื่นคำให้การเพิ่มเติมว่า บริษัทจาร์ดีนวอห์ จำกัดจะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง นายไมเกิลไม่มีอำนาจร้องขอแก้คำฟ้อง นายดั๊กคลาสไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนบริษัทโจทก์หนังสือมอบอำนาจท้ายคำฟ้องและท้ายคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ศาลแพ่งพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ถูกต้อง นายดั๊กคลาสมีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ ฟังว่าบริษัทจำเลยได้ซื้อสิ่งของไปจากบริษัทโจทก์จริง พิพากษาให้บริษัทจำเลยชำระเงิน 44,033.22 บาทให้บริษัทโจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือน ในต้นเงิน 38,124 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจขอแก้ฟ้องได้ เพราะคำร้องขอแก้ฟ้องเซ็นโดยนายศิริ เสนีเศรษฐ์ ทนายความซึ่งได้รับแต่งตั้งจากนายไมเกิลผู้รับมอบอำนาจเดิมซึ่งได้พ้นหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการบริษัทโจทก์สาขาในประเทศไทยแล้ว นายดั๊กคลาสผู้ได้รับมอบอำนาจคนใหม่ไม่ได้มีคำขอเข้ามาดำเนินคดีแทนคนเดิมซึ่งหมดอำนาจไปแล้วโจทก์ไม่ใช่นิติบุคคล และหนังสือมอบอำนาจไม่ปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย อำนาจฟ้องของโจทก์ย่อมไม่มี การแต่งตั้งทนายความก็ย่อมไม่ชอบหรือไม่บริบูรณ์ตามกฎหมายด้วย

ศาลฎีกาเห็นว่า เรื่องนิติบุคคลและเรื่องใบมอบอำนาจไม่ปิดอากรแสตมป์ จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อโต้เถียงคัดค้านในชั้นอุทธรณ์เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา249 วรรคแรก ในเรื่องใบมอบอำนาจไม่ปิดอากรแสตมป์นั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้แต่เริ่มแรกทีเดียว ส่วนเรื่องนิติบุคคลนั้นในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็ได้กล่าวรับรองแล้วว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลย่อมเถียงข้อนี้ไม่ขึ้น ในประเด็นเรื่องใบมอบอำนาจไม่ปิดอากรแสตมป์นั้น แม้ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ ศาลฎีกาก็เห็นว่าข้อโต้เถียงคัดค้านของจำเลยฟังไม่ขึ้น เพราะใบมอบอำนาจนี้เป็นสำเนาใบมอบอำนาจมิใช่ต้นฉบับหรือคู่ฉบับหรือคู่ฉีก ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรใบมอบอำนาจดังกล่าวเป็นใบมอบอำนาจที่ถูกต้องและศาลไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าจะไม่ใช่ใบมอบอำนาจที่แท้จริง จึงฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้

ส่วนประเด็นเรื่องโจทก์ขอแก้ฟ้อง ศาลฎีกาเห็นว่าบริษัทโจทก์ได้ดำเนินการตั้งแต่งทนายความฟ้องคดีโดยถูกต้องสมบูรณ์มาแต่แรกนายศิริทนายความของบริษัทโจทก์จึงมีอำนาจดำเนินคดีแทนบริษัทโจทก์ตลอดไปจนกว่าจะถูกสั่งถอนจากการตั้งแต่งเป็นทนายความ การพ้นหน้าที่ของนายไมเกิลหาทำให้นายศิริหมดอำนาจดำเนินคดีแทนดังที่จำเลยเข้าใจไม่เพราะบริษัทยังมีตัวอยู่และเป็นโจทก์เดิมนั่นเองการแก้ฟ้องของโจทก์มีผลเพียงเพื่อให้ทราบว่าบัดนี้บริษัทโจทก์ได้เปลี่ยนตัวผู้รับมอบอำนาจดำเนินกิจการหรือดำเนินคดีในนามของบริษัทโจทก์ในกาลต่อไปเท่านั้น นายดั๊กคลาสผู้รับมอบอำนาจคนใหม่ได้เข้าดำเนินกระบวนพิจารณาคดีซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในนามของบริษัทโจทก์สืบแทนต่อไป มิใช่เป็นการเริ่มต้นฟ้องคดีใหม่ ไม่จำเป็นต้องเสนอข้อหาดำเนินคดีต่อศาลขึ้นมาอีก การดำเนินคดีของโจทก์ถูกต้องตามกฎหมายสมบูรณ์ตามมา โจทก์มีอำนาจแก้ฟ้องได้

พิพากษายืน

Share