คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1355/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ต้นพลูเป็นต้นไม้ยืนต้น จึงเป็นส่วนควบของที่ดิน
โจทก์เป็นผู้ปลูกต้นพลู แต่ต้นพลูได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่โจทก์ปลูกต้นพลูเสียแล้ว แม้จำเลยจะร่วมกันตัดต้นพลู ก็ย่อมไม่มีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันสับฟัน ขุดถอนต้นพลูซึ่งโจทก์ได้อาศัยปลูกอยู่ในที่ของผู้มีชื่อ เสียหาย 55 ค้าง เป็นเงิน 5,500 บาท ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358, 359(4)

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นปรับจำเลยคนละ 50 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินแปลงที่โจทก์ปลูกต้นพลูนี้ขณะเกิดเหตุกรรมสิทธิ์ตกเป็นของนายเพื่อมจำเลยที่ 4 แล้วต้นพลูตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 108 ถือเป็นไม้ยืนต้น จึงเป็นส่วนควบของที่ดิน เมื่อกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของนายเพื่อมจำเลยที่ 4 โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ต้นพลูก็ตกเป็นของนายเพื่อมจำเลยที่ 4 ฉะนั้น หากจะรับฟังดังพยานโจทก์ว่านายเพื่อมจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 1, 2, 3 สับฟันขุดถอนต้นพลูรายพิพาทไปก็ย่อมไม่มีผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ เพราะนายเพื่อมจำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของต้นพลู โจทก์แม้จะเป็นผู้ปลูกต้นพลู แต่ต้นพลูได้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเพื่อมจำเลยที่ 4 เจ้าของที่ดินซึ่งปลูกต้นพลูเสียแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ดังโจทก์ฟ้อง โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) จึงไม่มีอำนาจจะมาฟ้องจำเลยทั้ง 4 ได้ จึงพร้อมกันพิพากษายืนในผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยกฎีกาโจทก์เสีย

Share