คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1224/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต่างกันนั้นจะถือว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดกฎหมายหาได้ไม่ และเมื่อคดีต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งคู่ความก็มิได้กล่าวอ้างมาในฟ้องอุทธรณ์ด้วยแล้ว ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่มีอำนาจหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้เข้าทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทจำเลยต่อมาโจทก์ลาออกจากบริษัทจำเลย แต่เงินประกันตัวโจทก์ที่บริษัทจำเลยหักไว้ตั้งแต่เข้าทำงานจนกระทั่งออกรวม 1,400 บาท จำเลยไม่คืนให้ จึงขอให้ศาลบังคับบริษัทจำเลยให้คืนแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า ถ้าโจทก์ไม่ปฏิบัติผิดหน้าที่จำเลยจะคืนให้แต่โจทก์ปฏิบัติผิดข้อสัญญา เป็นเหตุให้จำเลยเสียหาย จำเลยจึงปฏิเสธการคืนเงินให้โจทก์ ศาลชั้นต้นฟังว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง เป็นเหตุให้ผู้เช่าซื้อจักรของบริษัทจำเลยค้างเงินค่าเช่าซื้อ บริษัทจำเลยจึงมีสิทธิหักเงินประกันตัวโจทก์ 1,400 บาทไว้ชำระค่าเช่าซื้อจักรที่ยังค้างชำระอยู่แก่บริษัทจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงใหม่ว่า โจทก์ได้มอบการงานให้แก่บริษัทจำเลยเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องรับผิดอย่างใดอีก พิพากษากลับให้จำเลยคืนเงินประกันตัวรวมทั้งดอกเบี้ย 1,505 บาทแก่โจทก์กับให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในเงิน 1,400 บาทร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ด้วย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ไม่เกิน 2,000 บาท และศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์แต่เฉพาะข้อกฎหมาย ดังนั้น ข้อเท็จจริงย่อมต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 แต่ศาลอุทธรณ์อ้างเหตุว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดกฎหมาย จึงได้หยิบยกข้อเท็จจริงแห่งคดีขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(3)(ก) แล้วมีความเห็นในข้อเท็จจริงตรงกันข้ามกับศาลชั้นต้นอ้างว่ากิจการของโจทก์ไม่มีบกพร่อง เพราะได้ส่งมอบแก่ผู้บังคับบัญชาเรียบร้อยแล้วพิพากษากลับ ให้โจทก์ชนะคดี ดังนี้ ปัญหาจึงมีว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดกฎหมายหรือไม่ ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ทำให้ผู้เช่าซื้อจักร 3 รายค้างชำระค่าเช่าซื้ออยู่รวม 4,393 บาท บริษัทจำเลยย่อมมีสิทธิหักเงินค่าประกันตัว โจทก์ไว้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอยู่นั้นได้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อโจทก์ลาออกจากบริษัทจำเลยหัวหน้าแผนกที่โจทก์สังกัดอยู่ได้ทำหนังสือรับรองว่าก่อนโจทก์ออก โจทก์ได้ส่งมอบการงานให้แก่บริษัทจำเลยเรียบร้อยแล้ว แสดงว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ให้แก่บริษัทจำเลยไม่มีข้อบกพร่อง โจทก์จึงมีสิทธิได้เงินค่าประกันตัวคืน พิพากษาให้จำเลยชำระเงินนั้นแก่โจทก์ตามฟ้อง แต่หาได้ชี้ขาดว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงผิดกฎหมายอย่างใดไม่

ตามนี้จะเห็นว่าศาลทั้งสองเชื่อข้อเท็จจริงต่างกันไป ที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานแล้วมีความเห็นไม่ตรงกับความเห็นของศาลอุทธรณ์ในเรื่องข้อเท็จจริงนั้น จะถือว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายหาได้ไม่ ทั้งในเรื่องศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงผิดกฎหมายนี้ โจทก์ก็ไม่ได้กล่าวอ้างในฟ้องอุทธรณ์แต่ประการใด เมื่อคดีนี้ต้องห้ามไม่ให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยได้โดยชอบด้วยกฎหมาย คดีต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังมาว่า โจทก์ปฏิบัติหน้าที่บกพร่องทำให้บริษัทจำเลยได้รับความเสียหาย จึงมีสิทธิหักเงินประกันตัวของโจทก์ไว้แทนค่าเสียหายได้ ฎีกาจำเลยฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share