คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1179/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบและมีคำสั่งให้งดสืบในประเด็นข้อใด เป็นการสั่งโดยอาศัยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสอง ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 226(1) จะอุทธรณ์ในทันทีทันใดมิได้ โจทก์ชอบที่จะโต้แย้งคำสั่งไว้ และอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้เมื่อศาลพิพากษาหรือชี้ขาดตัดสินคดี กรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(3)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างจากจำเลยทั้งสอง จำเลยให้การว่าไม่เคยจ้างโจทก์ แต่โจทก์มาขอรับจ้างต่อจำเลย และเบิกเงินไปหลายคราวเกินไปจากที่จำเลยตกลงรับจ้างไว้ จึงฟ้องแย้งเรียกเงินคืนจากจำเลย

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งดังที่ฟ้องไว้เดิม และตัดฟ้องว่าจำเลยไม่มีหลักฐานการรับเงินเป็นหนังสือ และฟ้องแย้งเคลือบคลุม

ชั้นชี้สองสถาน ศาลเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่มีข้อความว่าจำเลยที่ 2เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 จึงให้งดสืบพยานโจทก์ในประเด็นเรื่องตัวแทนคงให้สืบแต่ประเด็นอื่นตามที่กะ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า คำสั่งศาลชั้นต้นไม่มีผลเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นเพื่อให้ประเด็นข้อสำคัญแห่งคดีเสร็จไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(3) จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์ยังอุทธรณ์คำสั่งนี้ในชั้นนี้ไม่ได้

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบ และมีคำสั่งให้งดสืบในประเด็นข้อใด เป็นการสั่งโดยอาศัยบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 86 วรรคสองก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดี จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ห้ามมิให้อุทธรณ์ตามมาตรา 226(1) จะอุทธรณ์ในทันทีทันใดมิได้โจทก์ชอบที่จะโต้แย้งคำสั่งไว้ และอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ เมื่อศาลพิพากษาหรือชี้ขาดตัดสินคดีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 226(1) และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นอันจะทำให้โจทก์อุทธรณ์คำสั่งให้ในบัดนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228(3)

พิพากษายืน ยกฎีกาโจทก์

Share