แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
(1) ขอแก้ฟ้องเกี่ยวกับจำนวนเงินของกลางที่จับได้เป็นการแก้ไขรายละเอียดเรื่องของกลางซึ่งต้องแถลงในฟ้อง (2) ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าพยานเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลา 8 นาฬิกาได้รับแจ้งจากสายลับว่าที่บ้านจำเลยเล่นการพนัน แต่ศาลอุทธรณ์ฟังว่ามีสายลับมาแจ้งพยานเมื่อเวลา 4 โมงเช้าถือว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน แต่กล่าวรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเวลาซึ่งคลาดเคลื่อนกันเล็กน้อยเท่านั้น (3) ฟ้องโจทก์กล่าวเพียงว่าจำเลยเป็นเจ้ามือรับแทงสลากกินรวบจากผู้เล่นทั่วไป ไม่กล่าวให้ชัดว่ารับแทงจากใคร ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม (4) จำเลยเป็นเจ้ามือรับเงินที่แทงจากผู้แทงไป ถือว่าได้ตกลงเล่นการพนันกันแล้ว (5) ภายหลังที่โจทก์ถามติงพยานโจทก์แล้ว โจทก์ขอให้พยานดูเอกสารที่ส่งศาลไว้แล้ว พยานดูแล้วว่าใช่ของกลางที่จับได้จากจำเลยตามที่เบิกความแล้ว ดังนี้ไม่ใช่เรื่องถามติง เป็นแต่เพียงให้พยานยืนยันเอกสารที่พยานเบิกความถึงมาแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเล่นการพนันสลากกินรวบ โดยจำเลยเป็นเจ้ามือขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 6, 10, 12แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2485 มาตรา 3 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2504 มาตรา 3 กับขอให้ริบของกลางและจ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลแขวงพระนครเหนือสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว โจทก์ขอแก้ฟ้องเกี่ยวกับจำนวนเงินของกลางที่เจ้าพนักงานจับได้จากจำเลย จาก 180 บาทเป็น 280 บาท ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นการแก้ไขรายละเอียดในฟ้องจึงอนุญาตให้แก้ได้
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 มาตรา 4, 6, 10, 12แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2504 มาตรา 3ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือน และปรับ 1,000 บาท รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ถ้าไม่ชำระค่าปรับ ให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ริบของกลางกับให้จำเลยจ่ายสินบนแก่ผู้นำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ
จำเลยอุทธรณ์ว่า ที่ศาลชั้นต้นให้โจทก์แก้ฟ้องไม่ชอบทำให้จำเลยเสียเปรียบทางคดี
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นการขอแก้รายละเอียดซึ่งต้องแถลงในฟ้องจำเลยมิได้หลงต่อสู้ในข้อที่ผิด จึงมิให้ถือว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 164 พิพากษายืน
จำเลยฎีกาหลายข้อ ทั้งได้ร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฎีกาด้วยศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาในปัญหาข้อกฏหมายตามฎีกาจำเลยข้อ 3(ก) และข้อ 3(ข) เฉพาะข้อ (1)(3)(4) และ (5)
ศาลฎีกาเห็นว่า
ฎีกาข้อ 3(ก) เห็นว่า โจทก์แก้ฟ้องก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาและข้อที่ขอแก้เป็นเพียงรายละเอียดเรื่องของกลางซึ่งต้องแถลงในฟ้อง พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 ทั้งจำเลยเองก็รับอยู่ว่าจำเลยมิได้หลงต่อสู้ในข้อที่ขอแก้นี้ จึงถือไม่ได้ว่าทำให้จำเลยเสียเปรียบ ศาลมีอำนาจที่จะอนุญาตให้แก้ฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 163, 164
ฎีกาข้อ 3(ข) (1) จำเลยกล่าวว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงคลาดเคลื่อนผิดไปจากพยานหลักฐานในสำนวน กล่าวคือ ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าร้อยตำรวจตรีเอนกเบิกความว่าวันเกิดเหตุเวลา 8 นาฬิกา ได้รับแจ้งจากสายลับว่าที่บ้านจำเลยเล่นการพนัน แต่ศาลอุทธรณ์ฟังว่า มีสายลับมาแจ้งแก่ร้อยตำรวจตรีเอนกเมื่อเวลา 4 โมงเช้า ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน แต่กล่าวรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องเวลาซึ่งคลาดเคลื่อนกันเล็กน้อยเท่านั้น ไม่เป็นสาระที่ถึงกับจะทำให้รูปคดีเปลี่ยนแปลงไป
ฎีกาข้อ 3(ข) (3) จำเลยฎีกาว่า ฟ้องโจทก์กล่าวเพียงว่าจำเลยเป็นเจ้ามือรับแทงสลากกินรวบจากผู้เล่นทั่วไป ไม่กล่าวให้ชัดว่ารับแทงจากใครเป็นฟ้องเคลือบคลุม ศาลฎีกาเห็นว่าฟ้องของโจทก์ชัดเจนพอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว
ฎีกาข้อ 3(ข) (4) จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรับแทงสลากกินรวบประจำงวดวันที่ 25 มิถุนายน 2507 แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยถูกจับตั้งแต่ตอนเช้าของวันที่ 25 มิถุนายน 2507 ซึ่งสลากกินแบ่งรัฐบาลงวดดังกล่าวยังไม่ออกยังไม่รู้แพ้รู้ชนะกัน ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเล่นการพนันในคดีนี้แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยเป็นเจ้ามือรับเงินที่แทงจากผู้แทงไป ถือได้ว่าได้ตกลงเล่นการพนันกันแล้ว
ฎีกาข้อ 3(ข) (5) ภายหลังที่โจทก์ถามติงร้อยตำรวจตรีเอนกพยานโจทก์แล้ว โจทก์ขอให้พยานดูเอกสารโพยของกลางที่ส่งศาลไว้แล้วตามหมาย จ.1 พยานดูแล้วว่าใช่ของกลางที่จับได้จากจำเลยตามที่เบิกความแล้ว จำเลยยกขึ้นมาฎีกาว่า โจทก์ถามติงไม่เกี่ยวกับคำเบิกความของพยานที่ตอบคำถามค้าน ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลฎีกาเห็นว่าไม่ใช่เรื่องถามติง เป็นแต่เพียงให้พยานยืนยันเอกสารที่พยานเบิกความถึงมาแล้ว
พิพากษายืน