แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องศาลล่างทั้งสองรับฟังข้อความในคำแถลงเปิดคดีของจำเลยมาเป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนี้ เห็นได้ว่า ฎีกาของโจทก์หาได้แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งไม่ว่า ศาลชั้นต้นรับฟังข้อความข้อใดบ้างในคำแถลงเปิดคดีของจำเลยซึ่งไม่มีข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวนมาเป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณา จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 194 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 รับเป็นฎีกาไว้พิจารณาไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องใจความว่า โจทก์เช่าบ้านจำเลยที่ 1, 2 เพื่ออยู่อาศัย ชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน ต่อมาจำเลยที่ 1, 2 ประสงค์จะให้บ้านผู้อื่นเช่า เพราะได้ค่าเช่าแพงจึงให้โจทก์ส่งบ้านคืน โจทก์ยังหาบ้านที่เหมาะสมไม่ได้จึงให้จำเลยรอเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2506 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1, 2มีเจตนาบีบบังคับขืนใจให้โจทก์ออกจากบ้าน ได้ให้เจ้าพนักงานไฟฟ้าตัดสายไฟเสีย เป็นเหตุให้บ้านโจทก์ไม่มีแสงสว่าง และใช้พลังงานไฟฟ้าในการใช้พัดลม เตารีดผ้าฯ เป็นการทำให้โจทก์และครอบครัวต้องเสียเสรีภาพอันพึงมีพึงได้ตามกฎหมายและในวันที่ 21 มิถุนายน 2506 เวลากลางวัน จำเลยที่ 2, 3 ได้ด่าท้าท้ายหมิ่นประมาทโจทก์ วันที่ 22 มิถุนายน 2506 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1, 2, 3 ได้บุกรุกเข้าไปในบ้านเอาโซ่ล่ามใส่กุญแจที่สำหรับปิดเปิดน้ำประปาเพื่อไม่ให้ใช้บริโภคเป็นการทารุณร้ายกาจปราศจากมนุษย์ธรรม อันไม่สมควรกระทำอย่างยิ่ง เหตุเกิดตำบลดุสิตอำเภอดุสิต จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 326, 362 และ มาตรา 365
ศาลอาญาไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิขอให้การไฟฟ้างดจ่ายกระแสไฟฟ้าบ้านโจทก์ได้ ไม่ทำให้โจทก์เสื่อมเสียเสรีภาพประการใด ข้อหาบุกรุกและหมิ่นประมาทไม่มีพยานรู้เห็นคดีโจทก์ไม่มีมูลทุกข้อ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะข้อ 3 และข้อ 4 ซึ่งเป็นข้อกฎหมายฎีกาข้อ 3 ของโจทก์มีใจความสำคัญว่า ศาลล่างทั้งสองรับฟังข้อความในคำแถลงเปิดคดีของจำเลยเป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายฎีกาข้อ 4 ของโจทก์มีใจความสำคัญว่า คำแถลงเปิดคดีของจำเลยยืดยาว 11-12 หน้ากระดาษพิมพ์ ล้วนแต่ใส่ข้อเท็จจริงเข้าไปจนหมดสิ้น ยิ่งกว่าที่ศาลได้ไต่สวนเสียอีกซึ่งล้วนแต่เป็นข้อสำคัญแห่งคดีทั้งสิ้น
ปรากฎว่า ก่อนสืบพยานโจทก์ ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยได้ยื่นคำแถลงการณ์เปิดคดี ศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งว่าให้รับหรือไม่รับเป็นคำแถลงการณ์เปิดคดี เป็นแต่สั่งว่า “ส่งสำเนาให้โจทก์” เท่านั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของโจทก์หาได้แสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า ศาลชั้นต้นรับฟังข้อความข้อใดบ้างในคำแถลงเปิดคดีของจำเลยมาเป็นข้อเท็จจริงในการพิจารณาวินิจฉัยคดี โดยไม่มีปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวน เมื่อเป็นเช่นนี้ฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ไม่ให้รับเป็นฎีกา
ศาลฎีกาจะรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาไม่ได้ ให้ยกฎีกาของโจทก์เสีย