แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานและบัญชีระบุพยานนั้น หาใช่คำคู่ความที่ยื่นต่อศาลไม่ฉะนั้น คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ระบุพยานจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อคู่ความไม่โต้แย้งไว้ก็ย่อมจะอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งนั้นไม่ได้
คำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้จำเลยเข้าสืบ ก็เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อไม่โต้แย้งไว้ ก็ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาเช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขายฝากที่ดินเพื่อใช้หนี้โจทก์ และได้เช่าที่ดินโจทก์ทำนา แต่ไม่ชำระค่าเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญาและเข้าทำนาจำเลยเข้าขัดขวางแย่งทำนา จึงขอให้จำเลยชำระค่าเช่า ค่าเสียหายและดอกเบี้ย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ในวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลอ้างความเข้าใจผิดของทนายว่าเป็นวันนัดพร้อมเพื่อประนีประนอมยอมความกัน จึงยังมิได้ยื่นบัญชีระบุพยาน จึงขอยื่น
ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของจำเลย ให้งดสืบพยานจำเลยและพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าเป็นข้าวเปลือก 560 ถัง หรือเงิน 5,600 บาท ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง 542 บาท ค่าเสียหายถึงวันฟ้อง 793.23 บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรค 3 พร้อมด้วยบัญชีระบุพยาน ไม่ใช่คำคู่ความที่ยื่นต่อศาล คำสั่งคำร้องเช่นนี้เป็นคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยระบุพยาน จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยจะอุทธรณ์ได้ก็ต่อเมื่อได้โต้แย้งคำสั่งศาลไว้ตามมาตรา 226(2) เมื่อจำเลยไม่โต้แย้งคำสั่ง จำเลยก็จะอุทธรณ์และฎีกาไม่ได้ที่ต่อมาจำเลยขอสืบจำเลยผู้เดียวเป็นพยาน ศาลไม่อนุญาต ก็เป็นคำร้องและคำสั่งประเภทเดียวกันกับที่จำเลยยื่นคำร้องขอระบุพยานข้างต้น คำสั่งนี้จำเลยมิได้โต้แย้งไว้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาเช่นกัน ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน