แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เมื่อบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 อยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 55 การที่ผู้ร้องจะอ้างการได้มาในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 มาเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในคดีร้องขัดทรัพย์ได้นั้น ผู้ร้องต้องบรรยายมาในคำร้องขอโดยชัดแจ้งให้เห็นว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ อันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นผู้ร้องจึงจะมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้ามาสืบตามข้ออ้างได้ การที่ผู้ร้องมิได้บรรยายในคำร้องขอว่าโจทก์รับจำนองโดยไม่สุจริตจึงไม่มีประเด็นที่ผู้ร้องจะนำพยานเข้ามาสืบเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในประเด็นดังกล่าวและกรณีมิใช่เรื่องที่คู่ความสามารถนำพยานเข้ามาสืบประกอบได้เองโดยไม่จำต้องกล่าวบรรยายมาในคำร้องดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องขอของผู้ร้องโดยไม่ทำการไต่สวนจึงชอบแล้ว
การที่ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกาขอให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอไว้ไต่สวนต่อไปนั้น เป็นคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นศาลละ200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง 1 ข้อ 2(ก)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 7,848,623.18 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 6,363,780.35 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยจำเลยทั้งสองจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 12 เดือน นับแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความส่วนค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนกับค่าทนายความอีก 5,000 บาทจำเลยทั้งสองจะชำระให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 30 กันยายน 2539หากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 8934 และเลขที่ 4248 ตำบลเมืองเก่า อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่นพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดได้ทันที หากบังคับจำนองไม่พอชำระหนี้ จำเลยทั้งสองยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินจำนองทั้งสองแปลงเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 8934 มาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2528 โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้วผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้อง ขอให้ไต่สวนคำร้องขอและปล่อยที่ดินพิพาทที่ยึด
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีไม่จำต้องไต่สวน แล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาของผู้ร้องมีเพียงว่าการที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอของผู้ร้องโดยไม่ทำการไต่สวน และศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนมานั้น เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่าผู้ร้องบรรยายโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาตามกฎหมายแล้วว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดซึ่งเป็นการนำยึดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องแล้ว การนำสืบถึงความสุจริตหรือไม่สุจริตของโจทก์ผู้รับจำนอง อยู่ในขั้นตอนที่โจทก์และผู้ร้องจะนำสืบพยานประกอบข้อต่อสู้ของตนเองนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ผู้ร้องจะได้บรรยายมาในคำร้องขอถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทของผู้ร้อง แต่เมื่อสิทธิของผู้ร้องเป็นการได้ที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 อันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมแต่สิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนของผู้ร้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้รับจำนองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง การที่ผู้ร้องจะอ้างการได้มาของผู้ร้องขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในคดีร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ได้นั้นเมื่อบทบัญญัติดังกล่าวบัญญัติให้อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา 55 เช่นนี้ ผู้ร้องจึงต้องบรรยายมาในคำร้องขอโดยชัดแจ้งให้เห็นว่ามีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ตามกฎหมายแพ่งอันเป็นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นผู้ร้องจึงจะมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้ามาสืบไปตามข้ออ้างได้การที่ผู้ร้องมิได้กล่าวบรรยายในคำร้องขอว่าโจทก์รับจำนองโดยไม่สุจริตจึงไม่มีประเด็นที่ผู้ร้องจะนำพยานเข้ามาสืบเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในประเด็นดังกล่าวได้ กรณีมิใช่เรื่องที่คู่ความสามารถนำพยานเข้ามาสืบประกอบได้เองโดยไม่จำต้องกล่าวบรรยายมาในคำร้องขอเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความดังที่ผู้ร้องฎีกา ซึ่งจะเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยพยานหลักฐาน ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอของผู้ร้องโดยไม่ทำการไต่สวนและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกา ขอให้ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นรับคำร้องขอไว้ไต่สวนต่อไป จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงชั้นศาลละ200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งตาราง 1 ข้อ 2 (ก) แต่ผู้ร้องเสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแต่ละชั้นศาลจำนวน 22,500 บาท จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินกว่า 200 บาท ให้แก่ผู้ร้อง”
พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินกว่า200 บาท ให้แก่ผู้ร้อง