คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5314/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

มูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินมีอายุความ 3 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 การที่เจ้าหนี้ได้นำหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลายก่อนที่ตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับจะครบกำหนดอายุความ เป็นการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้อง ไม่ใช่เป็นเพียงเพื่อให้จัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ผู้ล้มละลายแต่อย่างเดียว ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173(เดิม) แม้ต่อมาเจ้าหนี้ได้ถอนฟ้องคดีล้มละลายอันเป็นผลให้ไม่นับว่าเป็นเหตุให้อายุความสะดุดลงตามมาตรา 174(เดิม) ก็ตาม แต่เมื่อพ้นกำหนดอายุความตามตั๋วสัญญาใช้เงินแล้ว ลูกหนี้ได้ทำสัญญารับสภาพหนี้ยอมรับผิดชดใช้หนี้ต่อเจ้าหนี้ถือได้ว่าลูกหนี้ได้ละเสียซึ่งอายุความที่ครบบริบูรณ์และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันรับสภาพหนี้ เมื่อเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ก่อนครบกำหนดอายุความซึ่งมีกำหนดเวลา 3 ปี เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย)ไว้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2536 เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ รวม4 อันดับคือ อันดับที่ 1 หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน ระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์2527 ถึงวันที่ 22 กรกฎาคม 2527 จำนวน 17 ฉบับ พร้อมดอกเบี้ย จำนวนเงิน29,023,952.82 บาท อันดับที่ 2 มูลหนี้ภาระค้ำประกัน (เป็นตัวเงิน) ในต้นเงิน1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวนเงิน 2,263,301.41 บาท อันดับที่ 3 มูลหนี้ภาระค้ำประกัน (ไม่เป็นตัวเงิน) 7 ฉบับ พร้อมดอกเบี้ย จำนวนเงิน4,036,308.50 บาท และอันดับที่ 4 มูลหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีพร้อมดอกเบี้ย จำนวนเงิน 20,686.84 บาท เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 35,344,249.57บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเห็นว่า มูลหนี้อันดับที่ 1 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในวันที่ 6 ธันวาคม 2536 เป็นการยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายหลังจากมูลหนี้ขาดอายุความแล้ว ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94(1) ส่วนมูลหนี้อันดับที่ 2และอันดับที่ 4 เห็นควรให้ได้รับชำระหนี้รวมเป็นเงิน 2,447,171.71 บาทจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 โดยมีเงื่อนไขว่า หากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากนางสมทรง โสรัต และพันตำรวจโทลักษณ์พิจิตร โสรัต ลูกหนี้ร่วมแล้วเพียงใด ให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ในคดีนี้ลดลงมาเพียงนั้น ส่วนที่ขอเกินมาให้ยกเสีย

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามรายงานความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

เจ้าหนี้อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า อนุญาตให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้ในมูลหนี้อันดับที่ 1 ได้ เป็นเงินจำนวน 29,023,952.82 บาท ตามที่ขอเมื่อรวมกับมูลหนี้อันดับที่ 2 และอันดับที่ 4 ตามคำสั่งอนุญาตของศาลชั้นต้นอีก 2,447,171.71 บาท จึงรวมเป็นเงินทั้งสิ้นที่เจ้าหนี้ได้รับจำนวน31,471,124.53 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามมาตรา 130(8)แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 โดยมีเงื่อนไขว่า หากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากนางสมทรง โสรัต และพันตำรวจโทลักษณ์พิจิตร โสรัตลูกหนี้ร่วมแล้วเพียงใด ให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ในคดีนี้ลดลงมาเพียงนั้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา

ศาลฎีกาแผนคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “…เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับครบกำหนด ลูกหนี้เพิกเฉยไม่ชำระหนี้ ต่อมาวันที่ 6 กุมภาพันธ์2530 เจ้าหนี้จึงได้ฟ้องลูกหนี้ในมูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวเป็นคดีล้มละลายต่อศาลแพ่ง คดีหมายเลขดำที่ ล.61/2530 ในระหว่างพิจารณาคดีล้มละลายเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2533 ลูกหนี้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่เจ้าหนี้ เจ้าหนี้จึงได้ถอนฟ้องคดีล้มละลายเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2533 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า เจ้าหนี้นำหนี้ดังกล่าวมาขอรับชำระหนี้ได้หรือไม่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกาว่า การที่เจ้าหนี้ถอนฟ้องคดีล้มละลายย่อมเป็นการลบล้างผลแห่งการยื่นฟ้องให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/17 วรรคแรก และลูกหนี้ทำหนังสือรับสภาพหนี้เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2533 เป็นระยะเวลาภายหลังจากที่หนี้ขาดอายุความแล้วและเป็นการรับสภาพความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/35 มีกำหนดอายุความ 2 ปี เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2536 จึงเป็นเวลาภายหลังจากที่หนี้ขาดอายุความแล้ว เห็นว่า มูลหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินมีกำหนดอายุความ 3 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1001 เจ้าหนี้ได้นำหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลายก่อนที่ตั๋วสัญญาใช้เงินแต่ละฉบับจะครบกำหนดอายุความ เป็นการฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องไม่ใช่เป็นเพียงการฟ้องคดีเพื่อให้จัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ผู้ล้มละลายแต่อย่างเดียว จึงมีผลให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173(เดิม) แม้ต่อมาเจ้าหนี้ได้ถอนฟ้องคดีล้มละลายดังกล่าวอันเป็นผลให้ไม่นับว่าเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 174(เดิม) ก็ตาม แต่เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2533 ซึ่งกำหนดอายุความตามตั๋วสัญญาใช้เงินได้ล่วงพ้นไปแล้ว ลูกหนี้ได้ทำสัญญารับสภาพหนี้ยินยอมรับผิดชดใช้หนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและหนี้อื่น ๆ ต่อเจ้าหนี้ ถือได้ว่าลูกหนี้ได้ละเสียซึ่งอายุความที่ครบบริบูรณ์แล้ว และเริ่มนับอายุความใหม่ต่อไปตั้งแต่วันรับสภาพหนี้ เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้รายนี้เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม2536 จึงไม่ขาดอายุความซึ่งมีกำหนดเวลา 3 ปี เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้รายนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาอนุญาตให้เจ้าหนี้รับชำระหนี้ในมูลหนี้รายนี้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share