คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2861/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 10ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช 2475 มาตรา 3 โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ที่กฎหมายให้งดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือน ตามบทบัญญัติแห่งภาค 1 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้แก่โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่รักษาและมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบอุตสาหกรรม โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างซึ่งเจ้าของอยู่และใช้เป็นร้านค้า หรือสถานที่ประกอบการค้าด้วย หาได้รับงดเว้นจากการที่จะต้องเสียภาษีโรงเรือนไม่ ดังนี้ เมื่อโจทก์เป็นบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ในการประกอบการค้าน้ำมันและผลิตภณฑ์ปิโตรเลี่ยมต่างๆโดบใช้ตึกพิพาททั้งหมด เป็นสถานที่บริหารงานและติดต่อธุรกิจการค้า แม้โจทก์จะเก็บสินค้าน้ำมันและตั้งโรงกลั่นน้ำมันอยู่ที่อื่น การบริหารงานอันเป็นส่วนสำคัญหรือหัวใจของการค้าน้ำมันของโจทก์ย่อมอยู่ที่ตึกพิพาทได้ชื่อว่าโจทก์ใช้ตึกพิพาทเป็นที่ดำเนินธุรกิจการค้า เมื่อโจทก์ใช้ตึกพิพาทประกอบธุรกิจการค้าแล้วโจทก์จะอยู่เองหรือไม่ ก็ไม่ทำให้โจทก์ได้รับการงดเว้นที่จะไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนตามบทกฎหมายข้างต้น (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 658/2489)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ในการประกอบการค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยมต่าง ๆ โจทก์สร้างโรงเรือนของโจทก์เป็นตึก 12 ชั้นใช้เป็นที่อยู่เองรวม 7 ชั้น โดยมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบการอุตสาหกรรมโจทก์ได้ยื่นแบบแจ้งรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปี พ.ศ. 2516ต่อจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ได้มีใบแจ้งรายการประเมินกำหนดค่ารายปีและค่าภาษีที่โจทก์ต้องเสียเป็นเงิน 152,400 บาท 31 สตางค์ โจทก์ไม่พอใจจึงได้ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 2 ขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ จำเลยที่ 2 ได้ชี้ขาดโดยให้ยื่นการประเมินตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ประเมินไว้เดิม โจทก์เห็นว่าคำชี้ขาดดังกล่าวไม่ถูกต้องเพราะได้กระทำโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติของพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน มาตรา 10 เพราะทั้ง 7 ชั้นดังกล่าวเป็นชั้นที่โจทก์อยู่เองและมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบอุตสาหกรรมแต่อย่างใด โจทก์จึงได้รับงดเว้นจากการเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินในชั้นดังกล่าวทั้ง 7 ชั้นเป็นจำนวนเงิน126,187 บาท 81 สตางค์ ขอให้เพิกถอนคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 และยกเลิกใบแจ้งประเมินของจำเลยที่ 3 เฉพาะรายการที่ 1, 5, 6, 7, 8 และ 9 ที่ให้โจทก์เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินแก่จำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินภาษีพร้อมด้วยดอกเบี้ยรวมทั้งสิ้น 130,387 บาท 81 สตางค์แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีของต้นเงิน 126,187 บาท 81 สตางค์ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสามให้การว่า การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินของจำเลยที่ 3และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะโจทก์ใช้อาคารจำนวน 7 ชั้น รวมชั้นใต้ดินเป็นสำนักงานหรือสถานที่ดำเนินกิจการค้าของโจทก์โจทก์ไม่ได้ใช้เป็นที่อยู่เองตามที่กล่าวอ้าง ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 ที่แก้ไขเพิ่มเติม

ศาลชั้นต้นเห็นว่า การประเมินภาษีของจำเลยที่ 3 และคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 ไม่ต้องคืนเงินภาษีโรงเรือนให้โจทก์พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 10 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินแก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช 2475 มาตรา 3 โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ๆ ที่กฎหมายให้งดเว้นไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนตามบทบัญญัติแห่งภาค 1 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้แก่โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเจ้าของอยู่เองหรือให้ผู้แทนอยู่รักษา และมิได้ใช้เป็นที่ไว้สินค้าหรือประกอบอุตสาหกรรมโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างซึ่งเจ้าของอยู่เองและใช้เป็นร้านค้าหรือสถานที่ประกอบการค้าด้วยหาได้รับการงดเว้นจากการที่จะต้องเสียภาษีโรงเรือนไม่(คำพิพากษาฎีกาที่ 658/2489 ระหว่างนายสุภักษร วิริยาพร โจทก์ นายเสรีเลขะกุล จำเลย) โจทก์เป็นบริษัท จำกัด มีวัตถุประสงค์ในการประกอบการค้าน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยมต่าง ๆ โดยใช้ตึกพิพาททั้งหมดเป็นสถานที่บริหารงานและติดต่อธุรกิจการค้า ฉะนั้น แม้โจทก์จะเก็บสินค้าน้ำมันและตั้งโรงกลั่นน้ำมันอยู่ที่อื่น การบริหารงานอันเป็นส่วนสำคัญหรือหัวใจของการค้าน้ำมันของโจทก์ย่อมอยู่ที่ตึกพิพาทได้ชื่อว่าโจทก์ใช้ตึกพิพาทเป็นที่ดำเนินธุรกิจการค้า เมื่อโจทก์ใช้ตึกพิพาทประกอบธุรกิจการค้าแล้ว โจทก์จะอยู่เองหรือไม่ก็ไม่ทำให้โจทก์ได้รับการงดเว้นที่จะไม่ต้องเสียภาษีโรงเรือนตามบทกฎหมายข้างต้นฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share