คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2286/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2494 บัญญัติห้ามมิให้นำทองคำเข้ามาในราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมาตรา 3 แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวนิยามคำว่าทองคำไว้ว่า หมายถึงเนื้อทองคำไม่ว่าจะเป็นแท่ง ก้อน แผ่น หรือรูปอื่น หรือผสมกับสิ่งอื่นใดด้วย แต่ไม่หมายความถึงเครื่องรูปพรรณทองคำ ซึ่งตามปกติและโดยสภาพใช้ในการประดับร่างกาย ทองคำแผ่นของกลางทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีขนาดเท่ากันและมีตราประทับไว้เท่านั้น จึงมิใช่เครื่องรูปพรรณทองคำซึ่งตามปกติและโดยสภาพใช้ในการประดับร่างกาย การที่จำเลยรับทองคำแผ่นของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทองคำแผ่นที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาต จึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2496มาตรา 27ทวิ ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ.2499 มาตรา 4

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2517 ถึงวันที่ 16 กรกฎาคม2517 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด มีผู้บังอาจนำทองคำแผ่นจำนวน 51 แผ่น ราคา52,532 บาท 02 สตางค์อันเป็นของต้องห้ามจำกัดมิให้เข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายโดยมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องตามกฎหมายและโดยเจตนาหลีกเลี่ยงข้อห้ามข้อจำกัด ต่อมาวันที่ 16 กรกฎาคม 2517 เวลากลางคืนหลังเที่ยงมีผู้แจ้งความนำจับ นำเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยทองคำแผ่นดังกล่าวทั้งนี้ จำเลยได้บังอาจนำทองคำแผ่นดังกล่าวซึ่งเป็นของต้องห้ามจำกัดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาต โดยมิได้ผ่านศุลกากร และโดยเจตนาหลีกเลี่ยงข้อห้าม ข้อจำกัด หรือมิฉะนั้นจำเลยได้บังอาจช่วยซ่อนเร้น ซื้อหรือรับไว้ซึ่งทองคำแผ่นของกลาง อันเป็นของต้องห้ามจำกัดมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่า เป็นทองคำแผ่นที่มีผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตและโดยเจตนาหลีกเลี่ยงข้อจำกัดขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 มาตรา 16, 17พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 11) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4 พระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งสินค้าบางอย่างพ.ศ. 2482 มาตรา 3, 9 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชกฤษฎีกาควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2494 มาตรา 3, 4 พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 5, 6, 7, 8, 9 และริบของกลางกับให้จ่ายเงินสินบนนำจับและเงินรางวัลแก่ผู้แจ้งความนำจับและเจ้าพนักงานผู้จับด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยรับทองคำแผ่นของกลางไว้โดย รู้แล้วว่าเป็นของที่มีผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงข้อห้ามข้อจำกัด พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ พระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13)พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ให้ปรับจำเลย 210,128 บาท 08 สตางค์ แต่มีเหตุบรรเทาโทษเพราะคำให้การจำเลยในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงปรับจำเลย 140,085 บาท 38 สตางค์ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ทองคำแผ่นของกลางให้ริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33ให้จ่ายสินบนแก่ผู้นำจับร้อยละสามสิบของราคาของกลาง และจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดพ.ศ. 2489 มาตรา 5, 6, 7 และ 8

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย อ้างว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริง

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา

ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยเฉพาะที่ว่า ทองคำแผ่นของกลางไม่ใช่เป็นของต้องห้ามต้องจำกัด เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนฎีกาข้ออื่น ๆ ของจำเลยไม่รับ เพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 222 ว่า จำเลยได้บังอาจรับไว้ซึ่งทองคำแผ่นของกลาง โดยจำเลยรู้แล้วว่าเป็นทองคำแผ่นที่มีผู้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่รับอนุญาต

ในปัญหาที่ว่า ทองคำแผ่นของกลางเป็นของต้องห้ามจำกัดหรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าทองคำแผ่นของกลางเป็นของต้องห้ามต้องจำกัดมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตามพระราชกฤษฎีกาควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2494 มาตรา 3, 4 ซึ่งตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ห้ามไม่ให้นำทองคำเข้ามาในราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมาตรา 3แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว นิยามคำว่าทองคำไว้ว่า “ทองคำหมายความถึงเนื้อทองคำไม่ว่าจะเป็นแท่ง ก้อน แผ่นหรือรูปอื่น หรือผสมกับสิ่งอื่นใดด้วย แต่ไม่หมายความถึงเครื่องรูปพรรณ ทองคำซึ่งตามปกติและโดยสภาพใช้ในการประดับร่างกาย” ทองคำแผ่นของกลางจึงเป็นของต้องห้ามไม่ให้นำเข้ามาในราชอาณาจักรตามพระราชกฤษฎีกาควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2494มาตรา 3, 4 ทั้งทองคำแผ่นของกลางทำเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีขนาดเท่ากันและมีตราประทับไว้เท่านั้น ทองคำแผ่นของกลางจึงไม่ใช่เครื่องรูปพรรณทองคำซึ่งตามปกติและโดยสภาพใช้ในการประดับร่างกายที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าทองคำแผ่นของกลางจัดอยู่ในประเภทที่ 71.07 ก.ตามบัญชีพิกัดอัตราอากรขาเข้าท้ายพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากรพ.ศ. 2503 ซึ่งไม่ต้องเสียอากร แต่ต้องห้ามไม่ให้นำเข้ามาในราชอาณาจักรเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตามพระราชกฤษฎีกาควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2494 นั้น เป็นการวินิจฉัยว่าทองคำแผ่นของกลางเป็นของต้องห้ามจำกัดมิให้นำเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตามพระราชกฤษฎีกาควบคุมการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าบางอย่าง (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2494มาตรา 3, 4 ตามฟ้อง ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องดังที่จำเลยฎีกาจำเลยรับทองคำแผ่นของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทองคำแผ่นที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 13) พ.ศ. 2499 มาตรา 4ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share