คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1608/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อผู้เยาว์ถูกละเมิด ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องผู้ละเมิดได้แต่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 กล่าวคือ ให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้กระทำแทนหรือให้คำอนุญาตหรือให้ความยินยอม บิดาของผู้เยาว์ได้เสนอข้อหาต่อศาลแทนผู้เยาว์โดยยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เยาว์ จึงไม่เป็นบิดาของผู้เยาว์ตามกฎหมาย ไม่มีสิทธิกระทำแทนหรือให้ความยินยอมได้ ในกรณีเช่นนี้เท่ากับว่าผู้เยาว์เสนอข้อหาเอง เป็นการบกพร่องในเรื่องความสามารถเท่านั้น ไม่ใช่ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อบิดาได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เยาว์แล้วก็เป็นบิดาตามกฎหมายมีอำนาจกระทำแทนหรือให้ความยินยอมในการเสนอข้อหาต่อศาลได้ การบกพร่องในเรื่องความสามารถนี้ แก้ไขให้บริบูรณ์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 เมื่อจดทะเบียนสมรสแล้วก็เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมเหตุบกพร่องในเรื่องความสามารถก็หมดไป ทำให้การฟ้องคดีแทนเด็กที่บกพร่องมาแต่ต้นเป็นอันบริบูรณ์
จำเลยฎีกาคัดค้านในเรื่องค่าสินไหมทดแทน โดยมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงในฎีกาเพียงแต่ขอให้ถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยมาเป็นข้อสนับสนุนคำฟ้องในชั้นฎีกาเท่านั้น จึงไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เพราะมิได้กล่าวไว้ชัดแจ้งในฎีกา จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะตัดทอนจำนวนค่าเสียหายให้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2509)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นบิดาเด็กชายสุชาติ จำเลยที่ 1 เป็นบุตรอยู่ในความปกครองดูแลของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลจำเลยที่ 1 ผู้เป็นบุตร จำเลยที่ 1 ได้ขี่จักรยานโดยประมาทไปชนเด็กชายสุชาติบาดเจ็บกระโหลกศีรษะร้าวประสาทเสียมีสติฟั่นเฟือน โจทก์เสียค่ารักษาพยาบาลเด็กชายสุชาติเป็นเงิน 6,420 บาท เสียเวลาค้าขาย 4,500 บาท และเสียค่าพยาบาลต่อไปอีก 5,000 บาท รวมเป็นเงิน 15,920 บาท

จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์มิใช่บิดาและผู้ปกครองเด็กชายสุชาติตามกฎหมายและจำเลยที่ 1 เป็นเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยมิได้ประมาท เป็นความประมาทของฝ่ายโจทก์เองค่าเสียหายโจทก์เรียกมากเกินไป

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 4,176 บาท ดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง

โจทก์จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 7,463 บาท

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยฎีกาขึ้นมา 3 ข้อ คือ อำนาจฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์ โจทก์มีส่วนประมาท กับค่าสินไหมทดแทนในเรื่องอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า อำนาจฟ้องในคดีนี้เป็นของเด็กชายสุชาติผู้เสียหายในการทำละเมิดของจำเลยที่ 1 แต่เด็กชายสุชาติเป็นผู้ไร้ความสามารถโดยเป็นผู้เยาว์จะเสนอข้อหาต่อศาลได้ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 โดยมีผู้แทนโดยชอบธรรมตามมาตรา 1(13) เป็นผู้กระทำแทน ให้คำอนุญาตหรือให้ความยินยอม เมื่อตอนยื่นฟ้อง นายประสงค์ยังมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของเด็กชายสุชาติ นายประสงค์จึงมิใช่บิดาตามกฎหมาย นายประสงค์ไม่มีสิทธิกระทำแทนหรือให้ความยินยอมเท่ากับว่าเด็กชายสุชาติเสนอข้อหาเอง บกพร่องในเรื่องความสามารถเท่านั้น มิใช่ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อนายประสงค์กับมารดาเด็กชายสุชาติจดทะเบียนสมรสแล้ว ก็เป็นบิดาเด็กตามกฎหมาย อำนาจปกครองอยู่กับบิดา เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมมีอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำแทนหรือให้ความยินยอมในการเสนอข้อหาของเด็กชายสุชาติได้ การบกพร่องในเรื่องความสามารถนี้ แก้ไขให้บริบูรณ์ได้ตามมาตรา 56 ที่กล่าวข้างต้นเมื่อได้แก้ไขโดยวิธีจดทะเบียนสมรสให้เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมแล้วเหตุบกพร่องในเรื่องความสามารถก็หมดไป ทำให้การฟ้องคดีแทนเด็กที่บกพร่องมาแต่ต้นเป็นอันบริบูรณ์ด้วยการแก้ไขนี้แล้ว ในเรื่องโจทก์มีส่วนประมาทนั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์ในเรื่องค่าสินไหมทดแทน จำเลยมิได้ยกรายการใดขึ้นฎีกาคัดค้านว่าจำเลยไม่ควรรับผิดเพราะเหตุใดมิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงในฎีกา ที่จำเลยบรรยายไว้ว่าขอถือเอาคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยมาเป็นข้อสนับสนุนคำฟ้องของจำเลยในชั้นฎีกาด้วยนั้นไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 เพราะมิได้กล่าวไว้ชัดแจ้งในฎีกา เมื่อจำเลยมิได้คัดค้านว่าจำนวนใดไม่ต้องรับผิดหรือมากเกินไป จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะตัดทอนจำนวนค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชดใช้

พิพากษายืน

Share