คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3075/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะสอบคำให้การได้อ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยเข้าใจข้อหาดีแล้ว จำเลยจึงได้ให้การรับสารภาพและลงลายมือชื่อไว้โดยโจทก์บรรยายฟ้องโดยชัดเจนในข้อ ก. ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตเป็นจำนวนเท่าใด และมีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาสถานที่กระทำผิด และในคำฟ้องข้อ ข. บรรยายว่า จำเลยได้นำยาเสพติดให้โทษอันเป็นของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำจังหวัดสมุทรปราการ จึงเป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ พอสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว จึงไม่เคลือบคลุม
สิ่งของต้องห้ามที่จำเลยนำเข้าไปในเรือนจำจังหวัดสมุทรปราการเป็นยาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นภัยต่อสังคมโดยรวมและกระทำในขณะต้องขังคดีอื่น แสดงว่าจำเลยไม่มีสำนึกและความรับผิดชอบทั้งไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง การที่จำเลยมีบิดามารดาที่ชราแล้ว มีบุตรที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดูและไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนนั้น ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงดุลพินิจของศาลล่างที่ไม่ลดโทษและรอการลงโทษจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 3 เม็ด หนัก 0.266 กรัม ไว้ในครอบครอง และนำเข้าไปในเรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายเจ้าพนักงานตรวจค้นยึดได้เมทแอมเฟตามีนดังกล่าวที่ตัวจำเลยเป็นของกลาง เมทแอมเฟตามีนของกลางหมดไปในการตรวจพิสูจน์ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 67 พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 มาตรา 45, 58

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 พระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 มาตรา 45 (ที่ถูกมาตรา 45 วรรคหนึ่ง), 58 เป็นความผิดหลายกรรมให้เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานนำสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ จำคุก 8 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 8 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 10 เดือน

จำเลยอุทธรณ์ ขอให้รอการลงโทษ

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาตรวจวินิจฉัยว่า “จำเลยฎีกาข้อแรกว่าคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จำเลยให้การรับสารภาพไปโดยผิดหลง ขอให้ศาลสืบพยานเพิ่มเติมเพราะข้อเท็จจริง มิได้เป็นดังที่โจทก์ฟ้อง เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องโดยชัดเจนในข้อ ก. ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต เป็นจำนวนเท่าใด และมีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลา สถานที่กระทำความผิด และในคำฟ้องข้อ ข. บรรยายว่าจำเลยได้นำยาเสพติดให้โทษดังกล่าวอันเป็นของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ คำฟ้องของโจทก์บรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ พอสมควรเท่าที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว จึงไม่เคลือบคลุม ส่วนที่จำเลยอ้างว่าจำเลยไม่เข้าใจคำฟ้องนั้น ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2542 ว่าก่อนที่ศาลจะสอบคำให้การ ได้อ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยเข้าใจข้อหาดีแล้วจำเลยจึงได้ให้การรับสารภาพและลงลายมือชื่อไว้คดีไม่มีเหตุที่จะต้องสืบพยานดังที่จำเลยอ้าง ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่าสมควรลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยหรือไม่เห็นว่า สิ่งของต้องห้ามที่จำเลยนำเข้าไปในเรือนจำจังหวัดสมุทรปราการ เป็นยาเสพติดให้โทษซึ่งเป็นภัยต่อสังคมโดยรวม และกระทำในขณะต้องขังคดีอื่น แสดงว่าจำเลยไม่มีสำนึกและความรับผิดชอบทั้งไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมีบิดามารดาที่ชราแล้ว มีบุตรที่จะต้องอุปการะเลี้ยงดู และไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนนั้น ไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงดุลพินิจของศาลล่างทั้งสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1ไม่ลดโทษและรอการลงโทษให้จำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย สรุปแล้วฎีกาทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share