คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2785/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ธุรกิจซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ที่ 1 ที่จำเลยที่ 1ผู้เป็นหุ้นส่วนดำเนินการอยู่นั้น ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 4 มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 4เป็นผู้กู้ยืมเงินจากธนาคารมาใช้ในการดำเนินงานของผู้เป็นหุ้นส่วนตามวัตถุประสงค์ จึงเป็นเรื่องที่คู่ความโต้เถียงกันว่าจำเลยที่ 4เป็นตัวแทนในการกู้เงินหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับหนี้ตามสัญญากู้หรือสัญญาซื้อขายที่ดิน เช่นนี้ แม้การตั้งจำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 จะมิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีผลบังคับ
โจทก์ที่ 1 เป็นตัวการเข้าทำสัญญาหุ้นส่วนกับฝ่ายจำเลยโจทก์ที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ที่ 1 ในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเท่านั้น มิได้เข้าเป็นคู่สัญญาหุ้นส่วนกับฝ่ายจำเลยด้วย การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จัดกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนโดยไม่ถูกต้อง และให้จำเลยที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินบางแปลงอันทำให้ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 1เท่านั้น หาได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 2 ด้วยไม่ โจทก์ที่ 2จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2537 โจทก์ที่ 1จำเลยที่ 1 ตกลงเป็นหุ้นส่วนกัน ลงทุนเท่า ๆ กันในการซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 3709 และโฉนดเลขที่ 7044 เพื่อจัดสรรขายพร้อมสิ่งปลูกสร้างมีโจทก์ที่ 2 เป็นตัวแทนของโจทก์ที่ 1 ในการถือกรรมสิทธิ์เพื่อสะดวกในการรังวัดแบ่งแยกออกเป็นแปลงย่อย และจำเลยที่ 2กับที่ 3 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 1 ในการถือกรรมสิทธิ์เพื่อขายแก่บุคคลทั่วไป ส่วนห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนของหุ้นส่วนในการกู้เงินจากธนาคารมาดำเนินกิจการของห้างหุ้นส่วน ต่อมาไม่สามารถดำเนินกิจการร่วมกันได้ เนื่องจากจำเลยทั้งสี่ล่วงละเมิดข้อบังคับในสัญญาหุ้นส่วน โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 สั่งจ่ายเช็คโดยไม่แจ้งให้โจทก์ทั้งสองทราบ นำเงินไปใช้ในกิจการส่วนตัว1,344,215 บาท ขายที่ดินบางส่วน โดยโจทก์ทั้งสองไม่รู้เห็นและยินยอม ทำการซ่อนเร้นบัญชีรับจ่ายของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน โดยไม่ให้โจทก์ทั้งสองตรวจสอบความถูกต้องของบัญชีเจตนาเบียดบังทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนไปเป็นของตนและให้จำเลยที่ 3 มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่20438 ของหุ้นส่วน ทำให้โจทก์ไม่สามารถร่วมกิจการตามสัญญาหุ้นส่วนต่อไป อันเป็นการเหลือวิสัยที่ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนของโจทก์จำเลยจะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ ขอให้มีคำสั่งเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ให้โจทก์ที่ 1 หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้ชำระบัญชีให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ชำระเงิน1,344,215 บาท คืนห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 3 โอนที่ดินโฉนดเลขที่ 20438 ตำบลน้ำซึมอำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี คืนให้แก่ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ในการชำระบัญชีให้โจทก์และจำเลยชำระหนี้ฝ่ายละกึ่งแก่บุคคลภายนอกแบ่งทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนให้โจทก์และจำเลยคนละส่วนเท่ากัน ถ้าไม่สามารถแบ่งกันได้ให้ขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอก ส่วนที่เหลือให้แบ่งระหว่างโจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 1 คนละส่วนเท่ากัน

จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การ

จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสี่ไม่ได้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1ไม่เคยเข้าลงทุนเป็นห้างหุ้นส่วนในการซื้อที่ดิน เพราะโจทก์ที่ 1ไม่เคยออกเงินในการซื้อที่ดิน จำเลยที่ 4 เป็นฝ่ายออกเงินซื้อเหตุที่มีชื่อโจทก์ที่ 1 ที่ 2 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เนื่องจากโจทก์ทั้งสองและจำเลยดังกล่าวเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 4 ที่ดินจึงเป็นของจำเลยที่ 4 ทรัพย์สินที่โจทก์ทั้งสองระบุในฟ้องเป็นของจำเลยที่ 4มิใช่ของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน รถแทรกเตอร์แบ็กโฮ และเครื่องตบดิน เป็นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่เคยเป็นหนี้ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ห้างหุ้นส่วนเลิกกันให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ชำระเงิน 1,344,215 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ห้างหุ้นส่วน ตั้งเจ้าพนักงานกรมบังคับคดีเป็นผู้ชำระบัญชีโดยโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ร่วมกันเสียค่าใช้จ่าย คำขออื่นและคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 ให้ยกเสีย

จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 เป็นประการแรกว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ต้องชำระเงินจำนวน 1,344,215 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี แก่โจทก์ทั้งสองหรือไม่ ประเด็นนี้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4โต้แย้งคัดค้านที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 4เป็นตัวแทนของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ผู้เป็นตัวการในการกู้ยืมเงินธนาคารมาดำเนินกิจการของห้างหุ้นส่วนตามหนังสือสัญญาร่วมลงทุนถือหุ้นดำเนินกิจการจัดสรรที่ดินขายพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.2 ที่มีข้อความว่า โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 เข้าหุ้นกันมีโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ลงชื่อเป็นคู่สัญญามีจำเลยที่ 2 ผู้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 4 ลงชื่อเป็นพยาน ความข้อนี้จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 อ้างว่า แม้จำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นพยานในหนังสือสัญญาร่วมลงทุนถือหุ้นดำเนินกิจการจัดสรรที่ดินขายพร้อมสิ่งปลูกสร้างเอกสารหมาย จ.2 แต่ไม่ปรากฏว่าได้ประทับตราห้างจำเลยที่ 4อันจะถือได้ว่าเป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 4 แต่อย่างใด การลงชื่อจำเลยที่ 2 จึงเป็นการกระทำส่วนตัว ย่อมไม่ผูกพันจำเลยที่ 3 และที่ 4ให้ต้องรับผิดร่วมชำระหนี้ด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ขาดนัดยื่นคำให้การ ปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ไม่ชอบที่จะวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ส่วนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 ฎีกาว่า การซื้อขายที่ดินและการกู้ยืมเงินจำนวนเป็นล้านบาทของจำเลยที่ 4 ซึ่งโจทก์ที่ 1 อ้างว่า จำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนของโจทก์ที่ 1กับจำเลยที่ 1 ก็ไม่ปรากฏว่าได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือในการเป็นตัวแทนอันฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 798 นั้น เห็นว่า ในระหว่างธุรกิจการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 ผู้เป็นหุ้นส่วนดำเนินการอยู่นั้น จำเลยที่ 4 มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โดยจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 4 เป็นผู้กู้ยืมเงินจากธนาคารมาใช้ในการดำเนินงานของผู้เป็นหุ้นส่วนตามวัตถุประสงค์โดยปราศจากข้อคัดค้านแต่ประการใด จึงเป็นเรื่องที่คู่ความโต้เถียงกันว่าจำเลยที่ 4เป็นตัวแทนในการกู้เงินหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับหนี้ตามสัญญากู้หรือสัญญาซื้อขายที่ดิน เช่นนี้ แม้การตั้งจำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนของโจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 จะมิได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีผลบังคับ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกาว่าการขายที่ดินและทรัพย์สินกับนำทรัพย์สินของหุ้นส่วนไปใช้ส่วนตัวโดยปกปิดโจทก์เป็นเรื่องที่โจทก์ที่ 1 กับจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชอบกันเอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาบังคับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 ชำระเงินจำนวน 1,344,215 บาท โดยไม่ปรากฏในการวินิจฉัยว่า จำเลยได้เบียดบังปกปิดอย่างไร ซึ่งโจทก์เพียงกล่าวอ้างลอย ๆ นำสืบไม่สมฟ้องนั้น เห็นว่า พยานโจทก์มีโจทก์ที่ 1นายเจษฎา คงเขียว บุตรโจทก์ทั้งสองและนายอุทัย สุขสุวรรณเพื่อนบ้านผู้ใกล้ชิดเหตุการณ์เบิกความประกอบกันว่า จำเลยที่ 1ที่ 2 และที่ 4 เบิกถอนเงินกู้จากธนาคารไปใช้ส่วนตัวในจำนวนดังกล่าวตามบัญชีรับจ่ายเอกสารหมาย จ.9 และต้นขั้วเช็คเอกสารหมาย จ.9 และ จ.9/1 ที่มีข้อความกู้ยืมกำกับไว้ทั้งจำเลยที่ 2 ก็เบิกความยอมรับซึ่งเป็นเหตุพิพาทกันในศาลหลายคดี เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มิได้กล่าวแก้ให้เห็นเป็นอย่างอื่น เช่นนี้ข้อนำสืบของโจทก์ที่ว่าจำเลยเบียดบังปกปิดการนำทรัพย์สินดังกล่าวไปใช้ส่วนตัวจึงสมฟ้องไม่เลื่อนลอยสำหรับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ในประการอื่นล้วนไม่เป็นสารแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง คดีนี้ได้ความตามคำฟ้องและทางพิจารณาของโจทก์ทั้งสองว่า โจทก์ที่ 1 เป็นตัวการเข้าทำสัญญาหุ้นส่วนกับฝ่ายจำเลยโจทก์ที่ 2 เป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ที่ 1 ในการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเท่านั้น หาได้เข้าเป็นคู่สัญญาหุ้นส่วนกับฝ่ายจำเลยด้วยไม่ การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จัดกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนโดยไม่ถูกต้อง และให้จำเลยที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินบางแปลงอันทำให้ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเหลือวิสัยที่จะดำรงคงอยู่ต่อไปได้ จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 1 เท่านั้น หาได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่ 2 ด้วยไม่ โจทก์ที่ 2 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งปัญหาอำนาจฟ้องนี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share