คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2462/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมิได้สั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความ หากพิพากษายกฟ้องโดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตน อันเป็นการพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีในประเด็นที่พิพาท โจทก์มีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา207 ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 กำหนดให้ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย มิใช่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ทราบคำพิพากษาหรือคำสั่ง โจทก์ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ก่อนที่จะส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ จึงไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
แม้โจทก์ทนายโจทก์จะทราบวันเวลาที่ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์แล้วไม่มาศาล และไม่นำพยานมาศาลตามนัด โดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบก็ดี แต่ก่อนวันนัดโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบที่พิพาท และขอให้เลื่อนนัดสืบพยานโจทก์ไปก่อน ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งว่าไม่มีเหตุที่จะไปเผชิญสืบที่พิพาทหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไป หากมีคำสั่งแต่ว่า สำเนาให้จำเลยจะสั่งในวันนัด โจทก์และทนายโจทก์อาจเข้าใจว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลชั้นต้นคงจะเลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไปและให้มีการเผชิญสืบที่พิพาทตามที่โจทก์ขอ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และทนายโจทก์จึงไม่มาศาล และไม่นำพยานโจทก์มาศาล การขาดนัดพิจารณาของโจทก์มิได้เป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันควรสมควรให้พิจารณาคดีใหม่ตามที่โจทก์ขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของสวนยางพารา 1 แปลง จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นครูใหญ่โรงเรียนบ้านควรรากับพวกปักเสากั้นรั้วลวดหนามรุกล้ำที่ดินโจทก์เพื่อเอาเป็นสิทธิของโรงเรียนบ้านควรรา โจทก์ห้ามแล้วไม่เชื่อฟัง ได้ร้องเรียนต่อจังหวัดจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 กลับแจ้งว่าไม่ได้รุกล้ำขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองรื้อลวดหนามออกไปห้ามเกี่ยวข้อง

จำเลยที่ 1 ให้การว่า รั้วลวดหนามกั้นอยู่ในที่ดินของโรงเรียนบ้านควรราจำเลยที่ 1 ทำมา 2 ปีเศษแล้ว คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้รู้เห็นหรือร่วมบุกรุกที่ดินโจทก์จำเลยไม่ได้เป็นผู้บังคับบัญชาหรือนายจ้างของจำเลยที่ 1 คดีขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง

วันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกะประเด็นแล้วกำหนดหน้าที่นำสืบให้โจทก์สืบก่อน นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 8 กันยายน 2518 เวลา 8.30 น.

วันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ ทนายโจทก์ และพยานโจทก์ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ขาดนัดพิจารณาตามที่จำเลยขอและเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องสืบพยานจำเลย

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ภาระการพิสูจน์คดีตกแก่โจทก์ เมื่อโจทก์ขาดนัดพิจารณาและไม่มีพยานมาศาล ถือว่าไม่มีพยานมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ร้องว่า โจทก์ไม่จงใจขาดนัด ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่

ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำร้องของโจทก์ต้องห้ามมิให้ยื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 ยกคำร้อง

โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้อง

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า กรณีขาดนัดของโจทก์มิใช่เป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุสมควร พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาสืบพยานโจทก์แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เมื่อโจทก์ขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความ หากแต่พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยถือว่าโจทก์ไม่มีพยานมาสนับสนุนข้ออ้างของตน อันเป็นการพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีในประเด็นที่พิพาทคดีโจทก์จึงมิต้องห้ามมิให้มีคำขอให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 201 แต่โจทก์มีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207

ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่เมื่อพ้นกำหนด15 วัน นับตั้งแต่วันที่โจทก์ทราบคำพิพากษา จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 กำหนดให้ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลย มิใช่กำหนดให้ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายใน 15 วัน นับจากวันที่ทราบคำพิพากษาหรือคำสั่ง และโจทก์ยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ก่อนที่จะส่งคำบังคับตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นการยื่นคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายในระยะเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 กำหนดแล้ว คำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของโจทก์จึงไม่ต้องห้ามตามที่จำเลยทั้งสองฎีกา

ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์จงใจขาดนัดพิจารณานั้น ศาลฎีกาเห็นว่าแม้โจทก์และทนายโจทก์จะทราบแล้วว่าศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 8กันยายน 2518 เวลา 8.30 นาฬิกา แล้วโจทก์และทนายโจทก์ไม่มาศาลและไม่นำพยานโจทก์มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องให้ศาลทราบก็ดี แต่เมื่อวันที่ 19สิงหาคม 2518 โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบที่พิพาทโดยขอให้เลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไปก่อน และขอให้ศาลชั้นต้นไปเผชิญสืบที่พิพาทในวันที่ 25 กันยายน 2518 เวลา 9.00 นาฬิกา เป็นต้นไป อันเป็นวันเดียวกับวันที่ศาลชั้นต้นนัดเผชิญสืบสถานที่เกิดเหตุในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 184/2518ซึ่งอยู่ติดกับที่พิพาท ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งว่าไม่มีเหตุที่จะไปเผชิญสืบที่พิพาทหรือไม่อนุญาตให้เลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไป หากแต่มีคำสั่งว่า สำเนาให้จำเลยจะสั่งในวันนัด โจทก์และทนายโจทก์อาจเข้าใจว่าในวันนัดสืบพยานโจทก์ศาลชั้นต้นคงจะเลื่อนวันนัดสืบพยานโจทก์ไปและให้มีการเผชิญสืบที่พิพาทตามที่โจทก์ขอ ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์และทนายโจทก์จึงไม่มาศาลและไม่นำพยานโจทก์มาศาล ศาลฎีกาเห็นว่า การขาดนัดของโจทก์มิได้เป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุสมอันควร สมควรให้มีการพิจารณาคดีใหม่ตามที่โจทก์ขอ

พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share