คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2372/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องได้ความแต่เพียงว่า จำเลยแจ้งแก่พนักงานสอบสวนอย่างหนึ่ง แล้วมาเบิกความต่อศาลอีกอย่างหนึ่ง เป็นการแตกต่างและขัดกันขอให้ลงโทษฐานแจ้งความเท็จหรือเบิกความเท็จ ดังนี้ เมื่อฟ้องมิได้ยืนยันข้อเท็จจริงว่าข้อความใดเป็นความเท็จ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) (ประชุมใหญ่ครั้งที่21/2519)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า

ก. เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2516 เวลากลางวัน จำเลยให้การเป็นพยานชั้นสอบสวนในคดีอาญาต่อพันตำรวจโทอำนวยซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนว่าเมื่อประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2516 วันใดจำไม่ได้ เวลาประมาณ 8.00 นาฬิกาขณะที่จำเลยอยู่บ้านได้มีนายเย็นวิ่งหนีด้วยอาการตกใจมาที่บ้านและบอกพวกญาติพี่น้องว่าถูกนายชาญไม่ทราบนามสุกลคนบ้านเดียวกันใช้มีดวิ่งไล่ฟันนายเย็นนายเย็นจึงวิ่งหนีเข้ามาในบ้าน สาเหตุที่นายเย็นถูกไล่ฟันเพราะว่านายเย็นไปพังดินที่นายชาญกั้นทางเดินของน้ำจากเหมืองซอยชลประทาน เพื่อเอาน้ำเข้าสวนยางสูบของเขา เพราะนายเย็นไปเปิดให้ไหลเข้ามาในไร่ยาสูบของเขาก่อน นายชาญมาปิดกั้นเอาทีหลัง จากการกระทำของนายเย็นเป็นเหตุให้นายชาญไม่พอใจ จึงใช้มีดไล่ฟันนายเย็น แล้วนายเย็นขี่รถจักรยานยนต์ไปรายงานผู้ใหญ่บ้าน แต่ผู้ใหญ่บ้านไม่จัดการไกลเกลี่ยหรือสอบสวนแต่อย่างใด ต่อจากนั้นนายเย็นกับนายชาญก็ไม่ค่อยพูดจากัน แต่เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2516 เวลากลางวันจำเลยเข้าเป็นพยานในชั้นศาล โดยสาบานตัวแล้วและเบิกความต่อศาลมณฑลทหารบกที่ 4 (ศาลจังหวัดแพร่) ว่านายชาญกับนายเย็นไม่เคยสาเหตุโกรธเคืองกันซึ่งแตกต่างกับคำให้การชั้นสอบสวนในข้อสำคัญแห่งคดี ทั้งนี้ โดยในวันที่ 24เมษายน 2516 เวลากลางวัน จำเลยได้บังอาจแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้บุคคลอื่นต้องได้รับโทษฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และทำให้ประชาชนเสียหาย หรือมิฉะนั้นในวันที่ 30 สิงหาคม 2516เวลากลางวัน จำเลยบังอาจเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล และข้อความอันเป็นเท็จเป็นข้อสำคัญแห่งคดี

ข.เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2516 เวลากลางวัน จำเลยซึ่งสาบานตัวแล้วได้บังอาจเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาหมายเลขดำที่ 66/2516หมายเลขแดงที่ 104/2516 ของศาลมณฑลทหารบกที่ 4 (ศาลจังหวัดแพร่)ว่าไม่เคยให้การกับตำรวจว่าหลังจากนางม้อนหายเศร้าโศกแล้วได้บอกกับญาติพี่น้องว่าวันเกิดเหตุคนร้ายที่ยิงนายเย็นคือนายชาญ อันเป็นเท็จในข้อสำคัญแห่งคดี ความจริงจำเลยได้ให้การในข้อความดังกล่าวต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้ว

ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172, 174, 177,181

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยว่า ตามฟ้องข้อ ก. โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าความจริงนายชาญกับนายเย็นเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันหรือไม่ อันจะทำให้ถือได้ว่าที่จำเลยแจ้งความหรือเบิกความนั้นเป็นเท็จ ส่วนตามฟ้องข้อ ข.แม้จะเป็นความเท็จก็ไม่ใช่ข้อสำคัญแห่งคดี พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะตามฟ้องข้อ ก.

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามที่โจทก์บรรยายฟ้องข้อ 1 ก.มานั้น ได้ความแต่เพียงว่าจำเลยแจ้งแก่พนักงานสอบสวนอย่างหนึ่ง แล้วมาเบิกความต่อศาลอีกอย่างหนึ่ง อันเป็นการแตกต่างและขัดกัน ซึ่งเป็นความเท็จ แต่ฟ้องโจทก์ก็มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงมาด้วยเลยว่า อันไหนเป็นเท็จ และอันไหนเป็นความจริง หรือความจริงเป็นอย่างไร เมื่อโจทก์มิได้ยืนยันข้อเท็จจริงมาว่าข้อความใดเป็นความเท็จเช่นนี้แล้ว จำเลยก็ย่อมต่อสู้คดีไม่ถูก ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่จึงเห็นว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5)

พิพากษายืน

Share