แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์นำเช็คของธนาคาร ท. จำนวนเงิน84,000บาทซึ่ง ซ. เป็นผู้สั่งจ่ายฝากเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารจำเลยจำเลยส่งเช็คฉบับนั้นไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ท. แต่ธนาคาร ท. ปฏิเสธการจ่ายเงินและส่งเช็คฉบับนั้นคืน ต่อมาพนักงานของจำเลยได้คืนเช็คฉบับนั้นให้แก่ผู้ที่พนักงานของจำเลยไม่เคยรู้จักมาก่อนซึ่งมาอ้างว่าเป็นลูกจ้างของโจทก์ไปโดยไม่ตรวจสอบดูหลักฐาน ย่อมเป็นการกระทำที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น จำเลยก็ต้องรับผิดในการกระทำของพนักงานของตนแต่การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเท่ากับจำนวนเงินที่ปรากฏในเช็คฉบับนั้น นอกจากการที่เช็คพิพาทถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งแสดงอยู่ในตัวว่ายังห่างไกลต่อการที่คาดหมายได้ว่า โจทก์จะสามารถฟ้องเรียกเงินจาก ซ. ได้เต็มตามจำนวนเงินในเช็คนั้นแล้ว ตามฟ้องโจทก์ได้อ้างแต่เพียงว่าโจทก์ต้องเสียหายเพราะโจทก์ต้องสูญเสียเช็คฉบับนั้นสำหรับที่จะใช้เป็นหลักฐานในการฟ้อง ซ. ไปเท่านั้น กรณีจึงยังเป็นความเสียหายที่ห่างไกลต่อเหตุทั้งธนาคารจำเลยนำสืบฟังได้ว่า เมื่อโจทก์นำเช็คไปเข้าบัญชีแล้วเพียง 6 วัน โจทก์ก็ทราบว่าเช็คฉบับนั้นถูกปฏิเสธการจ่ายเงินจึงยังมีทางที่โจทก์จะขอนำสืบพยานบุคคลแทนเช็คที่สูญหายไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 ฉะนั้น ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เสียหายไปแล้วเป็นเงิน 84,000 บาท เท่าจำนวนเงินในเช็คเนื่องจากการที่โจทก์ต้องสูญเสียเช็คพิพาทไปนั้น จึงยังห่วงไกลต่อความเป็นจริงมาก ศาลไม่อาจบังคับให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้ดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ค่าเสียหายประการอื่นๆ ถ้าหากจะมีโจทก์ก็มิได้ฟ้องเรียกร้องมาศาลจึงต้องยกฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกค้าฝากเงินกับธนาคารจำเลย ต่อมาเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2515 โจทก์ได้นำเช็คธนาคารไทยพัฒนา จำกัด จำนวนเงิน 84,000 บาท สั่งจ่ายโดยนายเซี๊ยะเกียง แซ่ลี้ ฝากเข้าบัญชีของโจทก์ ทางธนาคารจำเลยสาขาวิสุทธิกษัตริย์ มีหน้าที่ต้องเรียกเก็บเงินตามเช็คเพื่อนำมาเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์และหากเช็คเรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยก็มีหน้าที่จะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นจำเลยไม่เคยแจ้งผลการเรียกเก็บเงินเช็ครายนี้ให้โจทก์ทราบเลย โจทก์จึงเข้าใจว่าเช็คนั้นเรียกเก็บเงินได้ และได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อไปโดยสำคัญผิด ปรากฏต่อมาว่าจำเลยปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่ออกไปนั้น โจทก์เพิ่งทราบเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2515 ว่าเช็คฉบับที่โจทก์นำเข้าฝากนั้นถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน ครั้นโจทก์ไปติดต่อเพื่อขอรับเช็คที่ฝากเข้าบัญชีคืน จำเลยกลับแจ้งว่ามีผู้มารับไปแล้ว และไม่ทราบว่าเป็นใคร โจทก์จึงไม่สามารถจะรับเช็คอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ของโจทก์คืนมาได้ การกระทำของจำเลยด้วยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นเหตุให้โจทก์ต้องสูญเสียเช็คอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ และเสียสิทธิเรียกร้องเงินจำนวน 84,000 บาทจากนายเซี๊ยะเกียง แซ่ลี้ไป จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในการกระทำละเมิดของจำเลยเป็นเงินจำนวน 84,000 บาท และให้จำเลยเสียดอกเบี้ยในต้นเงิน 84,000 บาท ในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะใช้เงินให้แก่โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ได้นำเช็คตามฟ้องเข้าบัญชีของโจทก์ ณ ธนาคารจำเลยจริง ธนาคารจำเลยได้เรียกเก็บเงินจากธนาคารไทยพัฒนา จำกัดแล้ว แต่ได้รับการปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ธนาคารจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2515 และโจทก์ได้มอบให้ผู้แทนมารับเช็คดังกล่าวคืนไปจากจำเลยในวันนั้นเอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องจำเลยได้ โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโดยสมคบกันโกงจำเลย แต่อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นเรื่องที่โจทก์ทำเช็คหายไปเอง โจทก์ก็ย่อมจะฟ้องเรียกเก็บเงินเอาจากนายเซี๊ยะเกียง แซ่ลี้ได้ พยานหลักฐานการสั่งจ่ายของนายเซี๊ยะเกียง มีปรากฏอยู่ที่ธนาคารไทยพัฒนา จำกัด
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะได้กล่าวในฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่ความจริงแล้วการกระทำของจำเลยเป็นเรื่องผิดสัญญาไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้คืนเช็คให้โจทก์ไปแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดตามฟ้อง เพราะโดยปกติโจทก์ย่อมได้รับความเสียหายโดยโจทก์ต้องเสียสิทธิเรียกร้องเงิน 84,000 บาท จากนายเซี๊ยะเกียงผู้สั่งจ่ายเช็คไป พิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 84,000 บาท และดอกเบี้ยในต้นเงิน 84,000 บาท ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะใช้เงินแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่พนักงานของจำเลยจ่ายเช็คที่พิพาทให้แก่บุคคลอื่นที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนรับไปนั้นเป็นการกระทำที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง จำเลยจึงต้องรับผิดตามฟ้องโจทก์ พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่พนักงานของจำเลยได้คืนเช็คที่พิพาทให้ไปแก่บุคคลที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อนนั้น เป็นการกระทำที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น จำเลยก็ต้องรับผิดในการกระทำของพนักงานของจำเลยเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ดีศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาบังคับให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ 84,000 บาท เท่ากับจำนวนเงินที่ปรากฏอยู่ในเช็คที่นายเซี๊ยะเกียง สั่งจ่ายให้แก่โจทก์ ทั้งนี้เพราะนอกจากการที่เช็คที่พิพาทได้ถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน ซึ่งแสดงอยู่ในตัวแล้วว่ายังเป็นการห่างไกลต่อการที่จะคาดหมายได้ว่าโจทก์จะสามารถฟ้องเรียกเงินจากนายเซี๊ยะเกียงได้เต็มตามจำนวนเงินนั้นแล้ว เหตุผลที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ ตามฟ้องโจทก์ได้อ้างแต่เพียงว่า การที่โจทก์ต้องเสียหายไปตามฟ้องนั้นก็เนื่องมาจากเหตุที่โจทก์ต้องสูญเสียเช็คที่พิพาท สำหรับที่จะใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องนายเซี๊ยะเกียงไป ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีแห่งคดีนี้ยังเป็นความเสียหายที่ห่างไกลต่อเหตุเพราะจากการนำสืบของจำเลยคดีรับฟังได้ว่า เช็คที่พิพาทได้นำเข้าบัญชีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2515 แล้วถูกส่งไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารไทยพัฒนา จำกัด สาขาปากคลองตลาด และต่อมาในวันที่ 28 เดือนนั้นเอง โจทก์ก็ทราบว่าเช็คฉบับนี้ถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน จึงยังมีทางที่โจทก์จะขอนำสืบพยานบุคคลแทนเช็คที่พิพาทที่สูญหายไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 ฉะนั้น โจทก์จะอ้างว่าโจทก์ได้เสียหายไปแล้วเป็นเงิน 84,000 บาท เท่าจำนวนเงินในเช็คที่พิพาทเนื่องจากการที่โจทก์ต้องสูญเสียเช็คที่พิพาทไปนั้น จึงยังเป็นการห่างไกลต่อความเป็นจริงมาก ไม่อาจจะบังคับให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้ดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ค่าเสียหายประการอื่น ๆ ถ้าหากจะมี โจทก์ก็มิได้ฟ้องเรียกร้องมา
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ค่าฤชาธรรมเนียมรวมทั้งค่าทนายความทั้งสามศาลเห็นสมควรให้เป็นพับ