แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 6 ว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งจำเลยที่ 4 โอนขายให้จำเลยที่ 6 ประเด็นในคดีก่อนมีว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลยที่ 6 ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทอันเป็นที่บางส่วนตาม น.ส. 3 ที่จำเลยที่ 4 โอนขายให้จำเลยที่ 6 นั้น เป็นของโจทก์ จำเลยที่ 4 ได้ น.ส. 3 มาโดยมิชอบ ประเด็นในคดีนี้มีว่าจำเลยที่ 4 ได้ น.ส. 3 มาโดยมิชอบหรือไม่ กับประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 แม้ประเด็นในคดีนี้จะเกี่ยวข้องกับประเด็นในคดีก่อน แต่ก็มิใช่ประเด็นเดียวกันโดยตรง ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงมิใช่ฟ้องซ้อนกับคดีก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์มีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของที่ดินที่อำเภอสูงเนิน  จังหวัดนครราชสีมา  เนื้อที่ประมาณ ๒๒ ไร่  ตามเส้นสีแดงในแผนที่ท้ายฟ้อง  โดยซื้อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗  โจทก์ครอบครองต่อจากเจ้าของเดิมเกิน ๑๐ ปีแล้ว  โจทก์เคยยื่นคำร้องขอผ่อนผันแจ้งการครอบครองต่อจังหวัดนครราชสีมา  แต่ทางจังหวัดไม่อนุมัติและแนะนำให้โจทก์ยื่นเข้ามาใหม่  เมื่อวันที่  ๑๘ และ ๒๘ กันยายน ๒๕๑๓  โจทก์ยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนายอำเภอสูงเนินผ่านจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นพนักงานที่ดินอำเภอดังกล่าว  เพื่อให้ออก ส.ค. ๑ และ น.ส. ๓ ให้โจทก์  และโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอผ่อนผันการแจ้งการครอบครองที่ดินเมื่อวันที่  ๑  ตุลาคม  ๒๕๑๓   ต่อจำเลยที่ ๑  โดยผ่านจำเลยที่ ๒  จำเลยที่ ๑  ที่ ๒  และที่ ๓  ซึ่งเป็นปลัดอำเภอสูงเนิน  สั่งให้จังหวัด ฯ พิจารณา  จำเลยที่ ๖ ได้ยื่นคำร้องคัดค้าน  คำขอผ่อนผันแจ้งการครอบครองของโจทก์อ้างว่าที่ดินเป็นของจำเลยที่ ๖  โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยที่ ๖ กับนายธวัชผู้จัดการ  ตามคดีหมายเลขดำที่ ๒๘๒/๒๕๑๔  ของศาลชั้นต้นคดีอยู่ในระหว่างพิจารณา  ต่อมาความจึงปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ร่วมกันกระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย  คือ  เมื่อวันที่  ๕ มีนาคม ๒๕๑๓  จำเลยที่ ๑  ออกประกาศให้มีการจับจองที่ดินบริเวณที่พิพาท  วันที่ ๙ เดือนเดียวกัน  จำเลยที่ ๔ ยื่นเรื่องราวขอจับจองต่อจำเลยที่ ๒ รวมเอาที่ของโจทก์บริเวณเส้นสีเหลืองและเขียวตามแผนที่ท้ายฟ้องเนื้อที่ประมาณ ๗ ไร่เข้าไปด้วย  จำเลยที่ ๓ ออกประกาศจับจองที่ดินของจำเลยที่ ๔ ในวันเดียวกันกับที่จำเลยที่ ๔ ยื่นเรื่องราวนั้นเอง    แต่มิได้นำประกาศไปปิดไว้ ณ ที่ดินที่จับจอง  ยอมให้จับจองในที่ดินของโจทก์  ซึ่งมิใช่ที่รกร้างว่างเปล่า  มิได้รังวัดเขตที่ดิน  แสดงรูปแผนที่ผิดจากความเป็นจริง  และนำเอาทางเกวียนเข้ามาในที่ดินที่ขอจับจอง  ซึ่งเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและกฎหมาย  ในที่สุดจำเลยที่ ๑ ออกใบจองให้จำเลยที่ ๔  เมื่อวันที่  ๒๔  เมษายน  ๒๕๑๓  วันที่  ๒๗ เดือนเดียวกัน  จำเลยที่ ๔ ยื่นคำขอรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓)  โดยยังมิได้ทำประโยชน์จำเลยที่ ๓  ออกประกาศตามคำขอในวันเดียวกัน  และในวันนั้นเองจำเลยที่ ๖  โดยจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นผู้จัดการยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมประเภทขายต่อจำเลยที่ ๑ ผ่านจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๓ ออกประกาศขายในวันนั้นในที่สุดจำเลยที่ ๓ ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๑๓ คือ น.ส.๓ เล่ม ๑ หน้า ๑๙๕ สารบบเลขที่ ๙๗๘ และในวันเดียวกันจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๖ โดย จำเลยที่ ๓ เป็นผู้ทำสัญญาจดทะเบียนให้ ขอให้พิพากษาว่าการออกใบจองหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินดังกล่าวเป็นโมฆะและขอให้มีคำสั่งให้เพิกถอนเสีย
จำเลยให้การต่อสู้หลายประการและต่อสู้ด้วยว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ ๒๘๒/๒๕๑๔ ของศาลชั้นต้น
ระหว่างสืบพยานโจทก์  ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและพิพากษาฟ้องโจทก์ซ้อนกับคดีหมายเลขดำดังกล่าวแล้วให้ยกฟ้องโจกท์เสีย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า  จำเลยในคดีนี้ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ ๒๘๒/๒๕๑๔ อันเป็นคดีแรกคือจำเลยที่ ๖ เท่านั้น  ส่วนจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ และที่ ๕  มิได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีแรกด้วยทั้งประเด็นในคดีแรกเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๖ ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยที่ ๖ ส่วนในคดีนี้มีประเด็นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๔ ว่า  ที่พิพาทบางส่วนตาม น.ส. ๓ ซึ่งจำเลยที่ ๔ โอนขายให้จำเลยที่ ๖ เป็นของโจทก์โดยจำเลยที่ ๔ ได้รับ น.ส. ๓ มาโดยมิชอบหรือไม่  กับประเด็นอื่นๆ ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ถึงจำเลยที่ ๓ แม้ประเด็นในคดีนี้จะเกี่ยวข้องกับประเด็นในคดีแรก  แต่ก็มิใช่ประเด็นเดียวกันโดยตรง  สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีต่างกัน  การที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๖ เข้ามาด้วยก็เพราะมีประเด็นพาดพิงเกี่ยวกับการซื้อที่ดินจากจำเลยที่ ๔ ดังนั้น  ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ ๒๘๒/๒๕๑๔ ของศาลชั้นต้น  คำวินิจฉัยของศาลล่างทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง  ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

