คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 224/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชำระหนี้จำนอง แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยยอมชำระหนี้จำนอง ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ ถือว่าเป็นเพียงฟ้องในมูลหนี้สามัญ และมีผลทำให้หนี้เดิมระงับ เกิดหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความเมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ย่อมบังคับคดีแก่ทรัพย์สินอื่นๆ ของจำเลยรวมทั้งทรัพย์ที่จำนองได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่1683/2498,127/2506 และ 989/2506)

ย่อยาว

เดิม โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชำระหนี้จำนอง แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อหน้าศาล โดยจำเลยยอมชำระหนี้จำนองให้โจทก์ ศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วต่อมาจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์จึงนำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1558ตำบลคลองราชาเทวะ อำเภอบางพลี (บางพลีใหญ่) จังหวัดสมุทรปราการ เฉพาะส่วนของจำเลย เนื้อที่ 15 ไร่ 2 งาน 84 วา เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการยึดทรัพย์แล้ว ปรากฏว่าที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยมีเนื้อที่ 18 ไร่84 วา

จำเลยร้องว่า โจทก์ฟ้องบังคับจำนองจากจำเลยในเนื้อที่ดินเพียง 15 ไร่1 งาน 68 วา (ที่ถูกเป็น 15 ไร่ 2 งาน 84 วา) และไม่รวมสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ในที่ดินที่โจทก์รับจำนองที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยมีเนื้อที่ 18 ไร่ 84 วา จำเลยคงเหลือที่ดินส่วนของจำเลยเนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 16 วา กับอาคารบ้านเลขที่ 9หมู่ที่ 2 ตำบลราชาเทวะ อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งโจทก์มิได้ฟ้องบังคับจำนอง เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1558 เฉพาะส่วนของจำเลยเนื้อที่ 18 ไร่ 84 วา เป็นการบังคับคดีเกินคำขอของโจทก์ ขอให้กันที่ดินส่วนที่เกินกับอาคารของจำเลยออกจากการบังคับจำนองของโจทก์ให้แก่จำเลย

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยจำนองที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยในโฉนด ที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยทั้งหมดต้องผูกพันตามสัญญาตามโฉนดยังไม่ได้แบ่งแยกไม่อาจทราบได้ว่าส่วนของจำเลยอยู่ที่ใดการที่จะกันส่วนไม่อาจทำได้ ให้ยกคำร้องของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชำระหนี้จำนองมิใช่ฟ้องบังคับจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 มาตรา 729 กรณีไม่อยู่ในบังคับแห่งมาตรา 733 และการที่โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยจำเลยยอมชำระหนี้จำนองให้โจทก์ ซึ่งศาลได้พิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้วนั้นถือว่าเป็นเพียงฟ้องในมูลหนี้สามัญและมีผลทำให้หนี้เดิมระงับเกิดหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ย่อมบังคับคดีจากทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยรวมทั้งทรัพย์จำนองได้ ดังนั้น โจทก์มีสิทธินำยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 1558 ตำบลคลองราชาเทวะ อำเภอบางพลี (บางพลีใหญ่) จังหวัดสมุทรปราการ เฉพาะส่วนของจำเลยเนื้อที่ 18 ไร่ 84 ตารางวา เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share