แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องเกิดในประเทศไทยจากบิดาซึ่งเป็นคนต่างด้าว ได้สัญชาติไทยมารดาพาออกไปนอกราชอาณาจักรโดยแสดงหลักฐานการแจ้งออกเพื่อกลับเข้ามาตามแบบ ต. มาตรา13 ไม่ใช่ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวผู้ร้องไม่เสียสัญชาติไทย
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นบุคคลสัญชาติไทยโดยการเกิดในราชอาณาจักร
พนักงานอัยการยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิได้เกิดในประเทศไทย ผู้ร้องเป็นคนต่างด้าวเชื้อชาติอินเดีย เดินทางเข้ามาในประเทศไทยในฐานะนักทัศนาจรโดยถือหนังสือเดินทาง ซึ่งทางราชการของประเทศอินเดียออกให้ หากผู้ร้องจะเป็นคนเดียวกับนายกุมาร สัจเดว์ ซึ่งเกิดในประเทศไทย ก็ได้เสียสัญชาติไทยไปแล้วตามมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องมีสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติพ.ศ. 2508 มาตรา 7(3)
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องเกิดในประเทศไทย จึงได้สัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7(3)
ที่ผู้คัดค้านฎีกาว่า การที่ผู้ร้องได้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยขอรับใบแสดงหลักฐานการแจ้งออกเพื่อเข้ามาในราชอาณาจักร (แบบ ต.ม.13)ซึ่งเป็นแบบที่เจ้าหน้าที่จะออกให้กับผู้ขอที่เป็นคนต่างด้าว มีสภาพเหมือนกับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว จึงฟังได้ว่าผู้ร้องได้สละสัญชาติไทยย่อมเสียสัญชาติไทยนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ซึ่งมีสัญชาติเป็นไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมีบิดาเป็นคนต่างด้าวจะเสียสัญชาติไทยตามความในมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ซึ่งผู้คัดค้านยกขึ้นอ้างในคำคัดค้าน ต่อเมื่อได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวแล้ว ใบแสดงหลักฐานการแจ้งออกเพื่อกลับเข้ามาในราชอาณาจักร (แบบ ต.ม.13) หาใช่ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวไม่ ผู้ร้องจึงไม่เสียสัญชาติไทย โดยเหตุที่ผู้คัดค้านฎีกา
พิพากษายืน