คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6902/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์มอบอำนาจให้ อ. ดำเนินคดีหรือไม่ และจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายหรือไม่ แล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย และวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่า สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 190 พิพากษาให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ และให้โจทก์คืนเงินมัดจำแก่จำเลยเป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายอันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24แม้โจทก์ไม่ได้โต้แย้งไว้ก็มีสิทธิอุทธรณ์ได้
โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันโดยสัญญาระบุไว้ว่า “หากในกรณีที่ผู้จะซื้อยังไม่พร้อมที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่ว่าด้วยกรณีใดก็ตาม ผู้จะขายยินยอมผ่อนผันเลื่อนกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปจนกว่าผู้จะซื้อพร้อมที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินใหม่”สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทน คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ ในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินถือว่าผู้จะซื้อคือจำเลยเป็นเจ้าหนี้ ส่วนฝ่ายผู้จะขายคือโจทก์เป็นลูกหนี้ จึงมิใช่สัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนและเป็นเงื่อนไขอันจะสำเร็จได้หรือไม่สุดแล้วแต่ใจของฝ่ายลูกหนี้หากแต่เป็นเงื่อนไขแล้วแต่ใจของเจ้าหนี้ สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 31617คืนให้แก่โจทก์ หากสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินคืนให้แก่โจทก์ ขอให้สั่งเจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินให้โจทก์โดยถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

วันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย และเรียกต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจกับสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทจากโจทก์เพื่อประกอบการพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินเลขที่ 31617 แก่โจทก์และให้โจทก์คืนเงินมัดจำ 670,000 บาท แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าอุทธรณ์ของโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 หรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย เป็นการอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น แต่โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวนั้นไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบนั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์มอบอำนาจให้นางอภิญญา เพ็ชรโพธิ์ดำเนินคดีนี้หรือไม่ และจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายหรือไม่ แล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่า ตามสัญญาจะซื้อจะขาย ข้อ 12 กำหนดว่า “หากในกรณีที่ผู้จะซื้อยังไม่พร้อมที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ไม่ว่าด้วยกรณีใดก็ตาม ผู้จะขายยินยอมผ่อนผันเลื่อนกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินไปจนกว่าผู้จะซื้อจะพร้อมที่จะรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินใหม่” ข้อความดังกล่าวมีลักษณะเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนอันจะสำเร็จได้หรือไม่สุดแล้วแต่ใจของฝ่ายลูกหนี้ (จำเลย)สัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 190 พิพากษาให้จำเลยคืนโฉนดที่ดินแก่โจทก์ และให้โจทก์คืนเงินมัดจำแก่จำเลย เห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นการที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมาย อันทำให้คดีเสร็จไปทั้งเรื่องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 227 แม้โจทก์ไม่ได้โต้แย้งไว้ก็มีสิทธิอุทธรณ์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์จึงชอบแล้ว

ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ทำการสืบพยานต่อไปนั้นไม่ชอบ เพราะสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 190 แล้ว คำสั่งให้งดสืบพยานและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายนั้นเห็นว่า การที่โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันโดยสัญญาข้อ 12 มีข้อความดังระบุไว้ข้างต้นนั้น สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินถือว่าผู้จะซื้อคือจำเลยเป็นเจ้าหนี้ ส่วนฝ่ายผู้จะขายคือโจทก์เป็นลูกหนี้ดังนี้ สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนและเป็นเงื่อนไขอันจะสำเร็จได้หรือไม่สุดแล้วแต่ใจของฝ่ายลูกหนี้ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย หากแต่เป็นเงื่อนไขแล้วแต่ใจของเจ้าหนี้สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share