คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 158/2502

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่จับได้จำเลยเพียงคนเดียวศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยที่ได้ตัวมากับโจทก์ฟังไปทีเดียวโดยยังไม่ครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันออกหมายจับโจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหมดทุกคนในฐานความผิดที่หนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา เช่นนี้ ศาลฎีกาคงวินิจฉัยให้แต่สำหรับจำเลยที่ได้ตัวมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เท่านั้นส่วนจำเลยที่ยังไม่ได้ตัวมาศาลฎีกายังไม่พิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามกับพวกปล้นทรัพย์ของนายสมชัย แซ่ลี้ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา ม. 301, 63 จำเลยที่ 2 เคยต้องคำพิพากษา รอการกำหนดโทษไว้ ขอให้กำหนดโทษที่รอในคดีก่อนบวกเข้ากับโทษคดีนี้ด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธ ข้อเคยถูกรอการกำหนดโทษรับว่าจริง

ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยทำร้ายเจ้าทรัพย์ แต่ไม่เชื่อว่าปล้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสามผิดกฎหมายอาญา ม. 254 จำคุกคนละ 4 เดือนและกำหนดโทษจำเลยที่ 2 ที่รอไว้ 1 เดือน บวกเข้ากับโทษคดีนี้ด้วย

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าจำเลยได้ทำผิดเพียงฐานชิงทรัพย์ทำให้ผู้อื่นรับอันตรายถึงสาหัส เพราะฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีอาวุธ พิพากษาแก้ว่าจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 339 จำคุกคนละ 5 ปี รวมโทษที่กำหนดในคดีเก่าสำหรับจำเลยที่ 2 ควบอีก 1 เดือนกับให้จำเลยใช้เงินคืนเจ้าทรัพย์

ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 ฟัง ส่วนจำเลยที่ 2-3 ยังอยู่ในระหว่างออกหมายจับ

จำเลยที่ 1 และโจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นออกหมายจับจำเลยทั้งสาม เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2501 จับจำเลยที่ 1 ได้ และศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และโจทก์ฟังเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2501 ยังไม่ถึง 1 เดือน นับแต่วันออกหมายจับ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2-3 ได้ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182 ชั้นนี้ศาลฎีกาจึงพิจารณาคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 เท่านั้น ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำร้ายผู้เสียหายถึงบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ได้เอาเงินของผู้เสียหายไปพิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ 1 ผิดกฎหมายอาญา มาตรา 256 จำคุก 2 ปี

Share