คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2238/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฟ้องผู้เสียหายกับพวกในข้อหาร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำร้ายร่างกาย และทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ แล้วนำสำเนาคำฟ้องไปให้นักข่าวหนังสือพิมพ์ดูพร้อมกับเล่าให้ฟังว่า ผู้เสียหายมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยเป็นส่วนตัวแล้วแกล้งจับกุมและทำร้ายร่างกายจำเลย นักข่าวได้นำลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ได้ความว่าในขณะจำเลยไปเล่าเรื่องให้นักข่าวฟังนั้น จำเลยให้ดูบาดแผลที่ถูกทำร้ายด้วย และศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษพวกของผู้เสียหายคนหนึ่งฐานทำร้ายร่างกายจำเลย (จำเลยถอนฟ้องผู้เสียหาย) ตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวทำให้เป็นที่สงสัยว่า ผู้เสียหายอาจมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยแล้วแกล้งจับกุมจำเลยดังที่จำเลยให้ข่าวในหนังสือพิมพ์ การกระทำของจำเลยเช่นนี้จึงเป็นการกล่าวข้อเท็จจริงโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยดูหมิ่นผู้เสียหาย เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ต่อนักข่าวหนังสือพิมพ์ว่า ผู้เสียหายกับพวกขอตรวจใบอนุญาตขับขี่ จำเลยไม่ยอมให้ตรวจ ผู้เสียหายกับพวกได้กระชากตัวจำเลยลงจากรถ ผู้เสียหายใช้เข่ากระทุ้งชายโครง เตะหน้าแข้ง ตบหน้าจำเลย แล้วดึงเอาใบขับขี่จากกระเป๋าเสื้อติดมือไปพร้อมกับเงินสด 700 บาท สาเหตุเพราะผู้เสียหายโกรธที่จำเลยไม่ยอมให้ยืมรถ ซึ่งไม่เป็นความจริงนักข่าวเชื่อคำบอกเล่าของจำเลย ได้นำไปลงข่าวหนังสือพิมพ์ เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 136

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีได้ความว่าจำเลยฟ้องผู้เสียหายกับพวกต่อศาลอาญาในข้อหาร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำร้ายร่างกาย ทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพและทำให้เสียทรัพย์ ศาลพิพากษาลงโทษพวกของจำเลยคนหนึ่งฐานทำร้ายร่างกายจำเลย (จำเลยถอนฟ้องผู้เสียหาย) และเมื่อจำเลยไปเล่าเรื่องให้นักข่าวฟังนั้นจำเลยให้ดูบาดแผลที่ถูกทำร้ายด้วย คดีเรื่องนี้ปรากฏว่าผู้เสียหายเคยทำคำร้องต่อศาลว่า เรื่องที่กล่าวหาจำเลยเป็นการเข้าใจผิด ไม่ประสงค์ดำเนินคดี แต่ศาลไม่รับพิจารณาคำร้อง เพราะมิได้ทำให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ ชั้นพิจารณาผู้เสียหายก็ไม่มาเบิกความเป็นพยาน ตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีทำให้เป็นที่สงสัยว่า ผู้เสียหายอาจมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยแล้วแกล้งจับกุมจำเลยดังที่จำเลยให้ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ การกระทำของจำเลยเช่นนี้จึงเป็นการกล่าวข้อเท็จจริงโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท

พิพากษายืน

Share